รีวิวหนัง Iron Man 3 โทนี่ สตาร์ค หรือ ไอรอน แมน Robert Downey Jr. เศรษฐีหนุ่มและนักปัญญาประดิษฐ์ ที่เสียรู้ให้กับศัตรูตัวใหม่ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา และทีสิ่งที่ทำให้โทนี่เดือดสุด ๆ ก็คือพวกศัตรูเหล่านี้กำลังต้องการทำลายชีวิตของเขาและคนที่เขารัก โทนี่จึงออกตามหาพวกนี้เพื่อมารับผิดชอบสิ่งที่ทำ งานนี้หนักหนาสาหัสมากเพราะโทนี่ต้องงัดเอาไม้เด็ดทุกสิ่งออกมาใช้เพื่อปกป้องตัวเองและคนที่ตัวเองรัก และพยายามหาคำตอบว่าที่ผ่านมาเขาถูกหุ่นยนต์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครอบงำหรือเปล่า
โทนี่ สตาร์คที่ภายนอกดูเป็นคนเข็มแข็ง กวนตรีน เชื่อมั่นมาดมั่นและมั่นใจ แต่กลับเมื่อมาถูกเติมเต็มด้วยเพเพอร์เค้ากลับทนไม่ได้ เเละไม่สามารถสูญเสียมันไปได้ ไม่ว่าจะเป็นคอนเซ็บที่ผ่านมา ชุดเกราะต้องสมบูรณ์ แข็งแกร่ง ทำให้คนแข็งแรงขึ้นเมื่อใส่ เกราะหากแต่ ทำให้โทนี่สตาร์คยิ่งอ่อนแอ ทางจิตใจขึ้นเรื่อยๆๆ
ว่าด้วยเรื่องหลังจบศึก Avengers ต่างคนต่างแยกย้ายไปกันทำหน้าที่และโทนี่สตาร์คต้องเจอปัญหาใหญ่ ที่เขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นภาคนี้ ล้วนมีความสำคัญต่อจิตใจของโทนี่สตาร์คมาก ไม่ว่าจะเป็น ดวงใจของเขาเปปเปอร์และศัตรูของเขาเอง ที่มีพลังที่เขาไม่เคยเจอ ทำให้ช่วงที่เขาสับสน หรือประสาทกินนั้น ต้องพยายามดึงตัวเองกลับมา เพื่อต่อสู้แก้ไข สถานการณ์ในครั้งนี้
ในภาคนี้เราจะได้เห็นหลายๆอย่างที่พัฒนาขึ้นมากกับโทนี่สตาร์คไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะที่ต้องทำขึ้นใหม่ ในสถานณ์การณ์ที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้กับชุดเกราะ คำพูดนี้ผมเลียนแบบคำพูดของ Nick Fury นะครับ ใน Avengers Fury พูดว่า เราต้องใช้คนพวกที่ผิดแปลก สู้กับพวกที่คนธรรมดาอย่างเราสู้ไม่ได้ ทุกตัวละคร ใน Iron Man 3 ดูมี คุณค่าและประโยชน์มากๆครับ ดูไม่เป็นตัวถ่วง ไม่มาง่ายแล้วจากไปง่าย หรือแม้แต่ แฮปปี้ ยกเว้น มายา และการที่ได้ แฮรี่ เด็กน้อยที่โผล่มาคู่กับโทนี่สตาร์คนี่ส่วนเติมเต็มที่สุดยอดมากๆ เพราะสังเกตุว่า หนังฮีโร่ยุคใหม่ๆ จะไม่ค่อยกล้าเอาเด็กเข้ามาเป็นคู่หูนะครับ เพราะคิดว่า อาจจะเลยจุดซุปเปอร์ฮีโร่รักเด็กมาแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ครับ ผม
ว่า มันเป็นสิ่งที่คราสสิคดี ไม่ใส่จนมากเกินไป และ Stark ก็ไม่ใช่คนที่จะรักเด็กด้วย เปปเปอร์ นั้น ภาคนี้เธอมีบทสำคัญมาก ที่ทำให้โทนี่ต้องอึ้งกันไปทีเดียว ผมก็อึ้งเหมือนกันครับ กับการที่ เปปเปอร์ ต้องไปบู๊ ถือว่าเธอทำได้ดีทีเดียว ส่วน เจมส์ โรดดีย์ ภาคนี้ถือว่า เล่นดีกว่าภาคที่แล้วครับ เพราะแกไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรมากมาย และกับเพราะ iron patriot ผมอาจจะมองว่าอาจจะเป็นจุดบอดจุดนึงครับ คือหนังค่อนข้างจะโฟกัสไปที่ การต่อสู้โทนี่สตาร์คทำให้ iron patriot นั้นดูจมดินไปเลย ถ้าผมพูดตรงๆ ภาคนี้ ไม่จำเป็นต้องมี iron patriot และ เจมส์ โรดดีย์ ก็ได้ครับ เพราะแทบจะไม่สำคัญอะไรเลย
รีวิวหนัง Iron Man 3 ภาคอำลาของฮีโร่เกราะเหล็ก
แต่มีก็ดีกว่าไม่มี เจมส์ โรดดีย์ ก็คือส่วนเติมเต็มของ Iron man ให้สมบูรณ์ในภาคนี้ ส่วน Aldrich Killian (Guy Pearce) ก็ถือว่าแสดงได้นิ่งมากครับ หล่อ สมาท แต่พอถึง Final เขาเปลี่ยนตัวเขาเองเป็นตัวร้ายได้อย่างน่าเกรงกลัว และเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้กระจอกๆแบบ ภาค 2 ด้วย ตัว CG ถือว่าทำได้ดีมากๆครับ และเนื้อเรื่องที่ยืดยาน เหมือนภาคที่แล้ว ทำให้ภาคนี้ดูเพลินไปเลย ส่วน Mandarin (sir ben kingsley) ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่แกแสดงได้หลุดโลกมากๆครับ และแสดงได้เนียนจิงๆ
ในด้านของความตลกอารมณ์ขันของเรื่องนั้น เป็นสิ่งที่ต้องตั้งใจดูจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะฝืดนะครับ บางมุขมาโดยไม่ทันตั้งตัว เนียนๆมากับบทเลย ถ้าคุณพลาดซักมุขเนี่ย ถือว่าเสียดายนะครับ คุณอาจจะจดจ่อ กับฉากที่เครียดๆอยู่แต่ทันใดนั้นอยู่ดีดีนั้นมุขตลกแบบก็โผล่มาแบบเราไม่ได้ตั้งตัว ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นตัวที่เราต้องคอยตั้งใจที่ปรับเปลี่ยนสถานณ์เสมอ และขอบอกแต่ละมุขนี่ รับประกันความกวนทีนของหนังได้เลย
และนอกจากนี้หนัง พยายามสื่อว่า บางทีซุปเปอร์ฮีโร่ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่เกราะไปซะทุกอย่างโทนี่สตาร์คก็เช่นกัน พยายามหาคำตอบกับตัวเอง ว่าถ้าตัวเขาไม่ได้ใส่
เกราะ เขาจะอยู่รอดไหม ไม่น่าแปลกใจ ทำไมจุดสุดท้ายเรื่อง มีหลายท่านที่ดูแล้วบ่นว่า มาเร็ว – ไปเร็ว ฉากสุดท้ายนั้น โทนี่สตาร์คใส่เกราะ ทุกๆเกราะรวมกัน ไม่น่าจะถึง 10 นาที นี่คือจุดที่ ผู้กำกับภาพยนตร์ตั้งใจให้เกิด เขาพยายามที่จะให้ โทนี่สตาร์คใช้เกราะให้น้อย และสั้นที่สุด เพื่อพิสูจน์ตัวเขาเองให้ได้ แล้วมันก็โยงไปสู่ตอนจบ ที่จบแบบสมบูรณ์ เขาอยู่ได้โดยที่ไม่เกราะพึ่งเกราะ แต่สิ่งนึงที่ยังอยู่ในตัวเขาก็คือ ผมคือ ไอรอน แมน ดูหนัง
บทสรุปของ Iron Man 3
สิ่งที่ผมได้เห็นและสัมผัสในภาคจบนี้ก็คือสิ่งที่โทนี่พยายามพัฒนามันขึ้นมาครับ ลำดับแรกก็คือชุดเกราะที่ต้องพัฒนาและปรับปรุงใหม่ เพราะว่ายิ่งเจอศัตรูที่แข็งแก่งเท่าไหร่ โทนี่ก็ต้องพัฒนาชุดเกราะของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นตามไป และอีกหนึ่งสิ่งที่คาดไม่ได้คือ การใช้สติปัญญาแก้สถานการณ์เมื่ออยู่ภายใต้ชุดเกราะ คงจะสังเกตเห็นกันใช่ไหมครับว่าเวลาที่โทนี่แกอยู่ในชุดเกราะ
แกจะมีออโต้บอทที่ชื่อว่าจาร์วิสอยู่เคียงข้างเสมอ คอยบอกกล่าวสถานการณ์และแนะนำตักเตือนโทนี่โดยเปรียบเสมือนสมองของโทนี่เลยก็ว่าได้ แต่โทนี่เองก็ไม่ได้ว่าอยู่ในชุดเกราะตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหากเขาเผชิญหน้าศัตรูในช่วงเวลาเขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เขาจะหาทางรอดและแก้สถานการณ์อย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า โทนี่ไม่ได้มีพลังเหนือมนุษย์เหมือนกัปตันอเมริกา และไม่ได้เป็นเทพเจ้าเหมือนธอร์ สิ่งที่เขาต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดคือการแก้สถานการณ์นั่นเอง เพราะบอกเลยครับว่าตัวร้ายภาคนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยเหมือนภาคที่แล้ว ๆ มาแน่นอน
เด็กในเรื่องเป็นบทที่เข้ามาเติมเต็มโทนี่สตาร์คพร้อมให้แง่คิด ให้เค้ามาดำเนินชีวิตต่อสู้กับความกลัวในใจ ของตนเองอีกครั้งจากคำพูดที่ว่า คุณเป็นนายช่างใหญ่ คุณก็สร้างสิเมื่อนั้นความรู้สึกในใจฉันต้องทำ ทำอะไรสักอย่างไม่ใช่นั่งให้ชุดเกราะมาคอยปกป้อง พร้อมกับบุกเข้ารังของแมนดาริน ตอนบทจบและสรุปลงของเรื่อง โทนี่ ฉีกชุดเกราะที่เค้าสร้างขึ้นมาเพื่อกลบความกลัวทั้งมวลออกไป และสู้โดยที่ปราศจากเกราะป้องกัน เพื่อที่จะรักษาสิ่งที่เค้ารักและห่วงแหนที่สุดไว้ คือคนที่รักให้กลับมาเป็น แบบเดิม
ซิกเนเจอร์ของภาคนี้คือถ้าโทนี่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูโดยที่ตัวเองไม่มีชุดเกราะ เขาจะทำอย่างไร เรื่องนี้เลยน่าสนใจขึ้นทันทีและกลับทำให้ผมนึกย้อนไปในช่วงภาคแรกที่เข้าถูกจับตัวไปแล้วใช้ปัญญาประดิษฐ์ สร้างหุ่นยนต์แล้วหนีออกมาได้ แต่ว่าแน่นอนหนังคงไม่เอามุกเดิมมาเล่น คราวนี้หนังฉีกออกไปอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือการเป็นฮีโร่ไม่ได้ว่าจำเป็นจะต้องมีเกราะป้องกัน เขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายและอยู่รอดได้แม้ว่าจะไม่ต้องพึ่งชุดเกราะก็ตาม เพราะเขาคือไอรอนแมน ความเป็นไอรอนแมนอยู่ที่จิตใจไม่ใช่ชุดเกราะ หนังออนไลน์
บทสรุปในภาคนี้คงจะบอกได้ว่าฉากสุดท้ายมันไม่สุดจริงๆ ไม่ใช่เพราะว่า Shane Black ผิดพลาดตรงนี้ แต่ Shane Black ต้องการให้ ไอรอนแมน ใช้เกราะให้น้อยที่สุด โดยใช้ตัวตนของเขาเอง ในการผ่านเรื่องราวร้ายๆไปให้ได้มากที่สุด เป็นการจบที่ไม่อยากให้จบจริงๆ