รีวิวหนัง Don’t look up

วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่พระเอกสุดเท่อย่างลีโอนาโด มาเล่นให้เราชมกัน ซึ่งเรื่องนี้มีกระแสขึ้นมานิดหน่อยเพราะว่า เนื้อเรื่องในภาพยนตร์เรื่องนี้ ค่อนข้างที่จะตรงกับสภาพสังคม และสภาพการเมือง ในปัจจุบันของโลก (อาจจะหมายถึงประเทศไทยของเราเองนั่นแหละครับ) แต่ก็ว่าไปนั่น หากใครอยากรู้เรื่องราว ที่เป็นการสะท้อนความเป็นจริงใจปัจจุบัน ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะบอกว่า สร้างจากความจริงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต แต่ก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาสร้างจากความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ใครอยากติดตามเรื่องราวสุดแสนจะไซไฟนี้ ต้องตามดูที่ ดูหนัง

 

ภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up เป็นผลงานการกำกับของ อดัม แมคเคย์  ผู้กำกับที่มาพร้อมแนวทางการทำภาพยนตร์ แบบตลกร้าย โดยเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวความฉิบหายวายป่วงหลังจากที่เคท (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) นักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิชาดาราศาสตร์ เธอได้ค้นพบดาวหางขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงมายังโลกมนุษย์ โดยอานุภาพของดาวหางดวงนี้สามารถทำลายโลกทั้งดวงได้ในพริบตา

หนังเรื่องนี้ดูจะถูกใจคอหนังชาวไทยจำนวนมากเหตุผลเพราะว่ามันเป็นตัวจิกกัด รัฐบาลทางอ้อมที่เป็นวลีอย่าง “ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด” ซึ่งมันแล้วแต่ผู้ดูจะตีความ ความหมายละเอียดอ่อน แบบนี้เรียกได้ว่าถูกใจคนไทย เป็นอย่างมากครับ

 

รีวิวหนัง Don't look up

 

สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงที่ เหมือนจะยัง ไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน เรื่องราวของนักดาราศาสตร์ระดับล่าง 2 คนที่ต้องออกเดินสายประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญเพื่อเตือนให้มวลมนุษยชาติรู้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกจนย่อยยับ ดูหนังออนไลน์

เรื่องว่ามาด้วย เคทและด๊อกเตอร์แรนดัล (ลีโอนาโด ดีคาร์ปริโอ)พยายามที่จะส่งต่อเรื่องราวนี้ ให้ไปอยู่ในความดูแลของภาครัฐ อย่างองค์การนาซา ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับอวกาศโดยตรง และแจ้งเรื่องให้ประธานาธิบดี (เมอรีล สตรีฟ) ทราบโดยด่วน แต่ว่าทั้งสองได้ พบกับความประสาทเสีย (อธิบายถึงเรื่องอย่างว่าในองกร) ในทุกหน่วยงานที่ต้องประสานงานด้วย เมื่อทุกคนที่ทั้งสองพยายามสื่อสารและทำความเข้าใจกับประเด็นที่มีชะตากรรมของ มนุษยชาติเป็นเดิมพัน แต่พวกเขากลับไม่ได้มองว่า ปัญหาเส้นตายของดาวหางที่จะพุ่งชนโลกในเวลา อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงอะไรเลย ซึ่งในจุดนี้ทำให้คนดูอย่างเราๆหงุดหงิดแทนเป็นอย่างมาก

 

รีวิวหนัง Don't look up-1

 

อันที่จริงเมื่อมองในภาพรวมแล้ว Don’t Look Up ตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อเสียดสีผู้คนสังคมอเมริกาที่มีท่าทีเพิกเฉยต่อปัญหาการเมืองระดับชาติ ซึ่งตัวเองก็ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว แต่ยังให้การสนับสนุนรัฐบาลที่ กำลังกอบโกยผลประโยชน์ เข้ากระเป๋าสตางค์ของตัวเอง มีส่วนได้ส่วนเสียกับบรรดาคนรวย หรือมหาเศรษฐีที่เป็นนายทุนในการเป็นพรายกระซิบข้างหู รัฐบาลชุดนั้นๆ เพื่อชี้เป็นชี้ตายให้กับ ทางออกของมวลมนุษย์ เพียงเพราะพวกเขาจะกอบโกยผลประโยชน์ร่วมกันจากวิกฤตนั้น หาใช่มองเห็นความปลอดภัยของมวลมนุษยชาติ

ขณะเดียวกันหนังยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มองเห็นหลากหลายอาชีพในสังคมที่มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลัก ที่สามารถนำพาประเด็นอันแสนซีเรียสคอขาดบาดตาย ให้กลายเป็นแค่เรื่องเบาสมองเป็นสกูปข่าวรายวัน ก่อนที่ผู้ชมจะหยิบเอาความสติแตก เหตุเกิดเพราะ เคท จริงจังเกินไป เอาไปทำมีม หรือ ภาพล้อเลียนเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการนำเสนอข่าวสาร การเลิกราระหว่างนักร้องป๊อปสตาร์ให้กลายมา เป็นประเด็นข่าวใหญ่ประเด็นดัง ยิ่งช่วยขับเน้นความเพิกเฉยต่อปัญหาสำคัญของสังคมได้อย่างชัดเจน

หากอ่านมาถึงตรงนี้ หนังมันต้องออกมาทางไซไฟสนุกๆ เป็นแน่ ปรากฏพอได้ดูจริง มันไม่ใช่ครับ เพราะมันคือส่วนผสมของความเป็นไซไฟตรงพล็อตเริ่มต้น แต่ตอนดำเนินเรื่องมันคือดราม่าคอเมดี้เชิงจิกกัดนี่เอง

เริ่มต้นมันคือเรื่องของสองนักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมกันค้นพบว่าดาวหางกำลังจะพุ่งชนโลกที่ต้องการแจ้งข่าวกับผู้นำประเทศ แค่นั้นเลย แต่พอเจอหน้าประธานาธิบดีหญิง เราก็เริ่มรู้แล้วว่า นี่ไม่ใช่หนังไซไฟจ๋าแล้วล่ะ ดูเขาจะหยิบเอาเรื่องจริงมันเขียนใหม่ ตั้งแต่เหน็บแนมผู้นำสหรัฐฯ สักคนโดยเอาเรื่องดาวหางพุ่งชนโลกมาเสียบแทน จากนั้น ก็หันไปแซะทั้งสื่อ โซเชียล และมหาเศรษฐีต่ออีกที

 

รีวิวหนัง Don't look up-2

 

รีวิวหนัง Don’t look up ประเด็นที่ทำให้คนสนใจ

อันที่จริงแล้วการมาถึงของ Don’t Look Up ไม่ได้เพียงแต่สะท้อนความเพิกเฉยของผู้คนชาวอเมริกัน แต่ลักษณะร่วมของผู้คนเหล่านี้ ประเทศไหนๆก็มี มิหนำซ้ำภาพซ้อนทับระหว่างผู้นำของหนังเรื่องนี้กับผู้นำในบางประเทศ กลับมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันแค่เปลี่ยนบริบทฉากหลังของเรื่องเลยก็ว่าได้

Don’t Look Up ทำให้เราเห็นว่าความบิดเบี้ยวของผู้คนในสังคม ที่ไม่สนใจคำว่า “ความปลอดภัย” อันเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต หากแต่มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวนั้น นำมาซึ่ง “หายนะ” อย่างชัดเจน และดาวหางในหนังเรื่องนี้เป็นแค่เพียงตัวแปรในการเร่งปฏิกิริยาให้เกิดไวขึ้นก็เท่านั้น  ดูหนัง

ในด้านเรื่องราวเองก็ดูเหมือนจะเดินไปแบบทีเล่นทีจริง เจือความไม่สมจริงอยู่บ้างในบางส่วนอย่างตั้งใจ เล่าเรื่องผู้นำประเทศที่วันๆ ก่อแต่เรื่องอื้อฉาว ขนาดได้รับรู้ข่าวช็อกที่มนุษยชาติกำลังจะสูญสิ้นเพราะดาวหาง ยังทำเป็นไม่เชื่อแม้มีหลักวิชาการยืนยัน สนใจแต่เรื่องการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า แต่จะดำเนินการอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์มาผลักดัน แถมยังเอามาตั้งเป็นแคมเปญหาเสียงอีกต่างหาก

 

 

เล่าเรื่องนายทุนที่สนใจแต่ผลประกอบการ แถมยังมองหายนะโลกว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ พวกเขาจะเดินเกมอย่างบุ่มบ่ามไม่ตรวจสอบให้ดี แม้เกิดข้อผิดพลาดก็เอาแต่เออออ เพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจต้องมาก่อน และเล่าเรื่องสื่อที่สนใจแต่เรื่องใต้เตียงและส่งออกภาพมายาอื้อฉาวของคนดังที่ต้องการเป็นข่าว เล่นเอาสองนักวิทยาศาสตร์ต้องหัวหมุน หลังล้มเหลวจากเป้าหมายสำคัญคือการแจ้งบอกผู้นำประเทศให้เตรียมรับมือ ก็เริ่มมองหาหนทางอื่น เข้าหาสื่อก็สนใจแต่จะนำเสนอความเบาสมอง ลองเปิดโปงด้วยตัวเองแต่ก็ไม่วายถูกตั้งข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง

หนังเล่าผ่านสายตาของ 2 นักดาราศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นรองที่บังเอิญพบว่า มีดาวหางขนาดเท่าภูเขาเอเวอเรสต์ กำลังมุ่งตรงมาโลกในอีกหกเดือน และพบว่าแทนที่การค้นพบ ของพวกเขาจะได้รับ การตระหนักถึงในแบบที่จริงจัง ในหนังฮอลลีวูดทั้งหลาย ปรากฏว่าพวกเขาต้องเจอ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่โดย ตรงแต่หาประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับความไม่รู้ของประชาชน, ประธานาธิบดีหญิง ที่เจอปัญหาข่าวฉาวเล่นงานและมองเห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง หรือผลการเลือกตั้งรอบหน้า, สื่อมวลชนที่อยากเล่า แต่ข่าวที่คนสนใจ อย่างดาราเลิกกันและ ไม่อยากพูดถึงเรื่องร้ายต่าง ๆ และทุนนิยมบ้าบอ คอแตกที่ทำให้เรื่องราว มันเตลิดเปิดโปงไปใหญ่โต ขนาดที่หลายความพลิกผัน ในเรื่องอาจทำเราร้อง อะไรกันครับเนี่ย ตลกร้ายชัดๆ หัวเราะทั้งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว

 

 

ความคิดเห็นหลังดูหนังเรื่องนี้จบ

หนังนำทัพโดยนักแสดงหลักอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ รับบท ดร.แรนดัล มินดี้ อาจารย์ดาราศาสตร์ จากม.มิชิแกนสเตท เป็นอาจารย์ของเคต ดิบิแอสกี้ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ รับบท เคต ดิบิแอสกี้ นักศึกษาปริญญาเอกของแรนดัล และเป็นผู้ค้นพบดาว หางดิบิแอสกี้ที่ ตั้งตามชื่อของเธอ ร็อบ มอร์แกน รับบท ดร.เท็ดดี้ โอเกิลธอร์ป หัวหน้าสำนักงานประสานงานพิทักษ์โลกจาก NASA ที่แสดงบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม บอกเลยว่ายังคงฝีมือ การสื่ออารมณ์ได้ดี และ ยังได้ Meryl มาร่วมแจมก็แสดงได้เข้าถึงตัวละครมากๆ

แม้ช่วง End Credit อาจจะไม่ค่อยเห็นเล่นแนวๆนี้เท่าไรก็ตาม แต่ไม่ควรพลาด ทั้ง 2 ตัวเลย หลังหนังจบ รวมถึงในหลายๆฉากที่ต้องแสดงผ่านทางหน้าตา หรือ แววตา เหล่านักแสดงสลับกันแสดง มาร่วมฉากได้ดีครับถือว่าภาพรวมนั้นไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีก็เสียดายว่าในหลายๆอย่างน่าจะจิกกัดให้สุด และนักแสดงก็น่าจะทำได้สุดกว่านี้ถ้าบทเค้าส่งกว่านี้นั้นเองครับซึ่งภาพรวมถ้าถามว่าในเรื่องนี้สิ่งที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็น ชุดทีมนักแสดงทั้งหลักและย่อยหรือประกอบที่โผล่มาทำได้ดี

 

 

และยังไม่พอ หนังยังขนนักแสดงสมทบด้วยดาราคับคั่งที่พร้อมมาเล่นไม่ว่าตัวละครพวกเขาจะบ้าบอขนาดไหนก็ตาม ทั้ง เมอรีล สตรีปในบทประธานาธิบดีสุดน่าหมั่นไส้ เคต แบลนเชตต์ กับบทพิธีกรสาวข่าวฉาว ทิโมธี ชาลาเมต ในบทเด็กหนุ่มเสเพลที่ผ่านมา รอน เพิร์ลแมน ในบทวีรบุรุษทหารคลั่งอนุรักษ์นิยม มาร์ก ไรแลนซ์  ในบทเจ้า พ่อธุรกิจมือถือที่รวยอันดับ 3 ของโลก โจนาห์ ฮิลล์  ในบทลูกชายไม่เอาไหนของประธานาธิบดีที่ได้ตำแหน่งสำคัญเพราะแม่ และไฮไลต์อีกคนคือนักร้องสาวคนสวยคนดัง อารีอานา กรานเด ที่มารับบทนักร้องดังและโชว์พลังเสียงสะกดผู้ชมแบบน่าจดจำด้วย

ยิ่งดูหนังแล้วมองเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่างโควิด ที่ตอนแรก ๆ มีคนเตือนแต่ก็ไม่ค่อยตระหนักแต่ตอนนี้คือเสียหายไปทั้งโลกแล้ว เรื่องนี้เหมือนเอามาตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังในการตัดสินใจของคนมีอำนาจและประชาชนคนตัวเล็ก ๆ ที่มีความเห็นหลากหลาย เกิดเสียงแตก เกิดจลาจล ดูวุ่นวายไปหมด หนังนำเสนอตรงนี้ได้ดีมาก ๆ
หากการรีวิวหนัง สปอยหนัง หนังดัง หนังใหม่ สามารถติดตาม รีวิวหนัง สปอยหนัง ทุกเรื่อง หนังคุณภาพ ทุกแนว ได้ที่ รีวิวหนังออนไลน์

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *