รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

เปิดเรื่องราวมาที่ มูนี่ เด็กสาวแก่นเซี้ยวแวบซ่า ที่เป็นหัวโจกของแก๊งเด็กแสบแห่งเมจิก แคสเซิล โรงแรมเก่าซอมซ่อที่ถูกทาด้วยสีม่วงสดใสเพื่อหวังเรียกลูกค้า

ย้อนกลับไปปี 2015 ชื่อของผู้กำกับอย่าง ณอน เบเกอร์ ถูกกล่าวในฐานะ ผู้กำกับที่บ้าบิ้นใช้ Iphone 5S ทำหนังอย่าง Tangerine จนได้เข้าฉายสายประกวด และ ได้รับการจับตามองทั้งชื่อชั้น และ ฝีมือ จนเราสงสัยใคร่รู้ว่างานชิ้นต่อมาของเขา จะยังเล่นกับการถ่ายด้วยIphone 5s อีกหรือไม่ และ จะเล่าเรื่องอะไรต่อจากชีวิตกะเทยเปรี้ยวซ่าเฉดส้มในเรื่องที่ผ่านมา “ เด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาว ผู้ใหญ่อย่างเราก็มีหน้าที่เติมสีลงในผ้าขาวผืนนั้น ” ประโยคนี้คงจะสื่อถึงเรื่องราวของหนังได้เป็นอย่างดี การที่เราทำตัวอย่างไรให้เด็กๆ เห็น เด็กเหล่านั้นก็จะจดจำ เว็บดูหนังออนไลน์

 

รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต
รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

และ ซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นเข้าไปเอง อย่าลืมว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีความสามารถในการแยกแยะ ได้เหมือนผู้ที่มีอายุพอสมควร พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดี หนังดราม่าเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ ฌอน เบเกอร์ ที่เคยฝากผลงานจากเรื่อง Tangerine (2015) โดยนอกจากจะกำกับแล้วเขายังร่วมเขียนบท และควบคุมการถ่ายทำอีกด้วย นำแสดงโดยสาวน้อยน่ารัก บรู้คลิน ปรินซ์ , เบรีย วิเนท และ ดาราเจ้าบทบาทอย่างวิลเล่ม เดโฟ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายในปีนี้อีกด้วย

ตัวหนังเองไม่ได้มีโครงเรื่องชัดเจนมากนัก นอกจากเป็นเรื่องราวที่ผ่านสายตาของ มูนี่ (บรูคคลิน พริ้นซ์) เด็กสาวแก่นเซี้ยวหัวโจกแก๊งเด็กแสบแห่งเมจิก แคสเซิลโรงแรมซอมซ่อที่ถูกทาด้วยสีม่วงสดใส เธอดำรงชีวิตแต่ละวันไป กับการเล่นสนุกที่บ่อยครั้งก็เลยเถิดจนสร้างความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ส่วน เฮลีย์ (บรีอา ไวเนต) คุณแม่ยังสาวก็เลือกทำทุกทางให้เธอและมูนี่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าเช่าให้ บ็อบบี้ (วิลเลม เดโฟ) ผู้จัดการโรงแรมปากร้ายแต่ใจดีได้ทันในแต่ละครั้ง แต่หลังมิตรภาพระหว่างเฮลีย์กับแอชลีย์  (เมลา เมอร์เดอร์)เพื่อนสาวที่เคยพึ่งพิงสะบั้นลง หลังเกิดเหตุร้ายที่เด็กๆก่อขึ้น ชีวิตของสองแม่ลูกแห่งเมจิก แคสเซิล จะสุขสันต์ชั่วกาลนานหรือไม่ มีเพียงผู้กำกับเท่านั้นที่จะรู้คำตอบ  ดูหนังฟรี

รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

กล่าวอย่างรวบรัดตัดความ นี่คือหนังที่สร้างเรื่องราวชีวิตของคนธรรมดาๆได้อย่างมหัศจรรย์มาก โดยเฉพาะการแสดงที่เหมือนไม่แสดงของหนูน้อย บรูคคลิน พริ้นซ์ ที่ขโมยหัวใจคนดูได้ตั้งแต่เปิดเรื่อง คนดูพร้อมจะเชื่อทันทีว่าเธอคือเด็กแสบ ที่มีพลังทำลายล้างอย่างมหาศาล แต่คนดูกลับกลายเป็นหลงรักเธอ ด้วยมุมมองแบบเด็กไร้เดียงสาที่เลือกมองทุกอย่างเป็นเรื่องสวยงามเปี่ยมสีสัน

ส่วนนักแสดงสมัครเล่นอย่าง บรีอา ไวเนต ก็รับบทแม่ยังสาวแถมแสบเกินพิกัดจนคนดูแทบจะละสายตาจากเธอไม่ได้ และ ที่สำคัญเธอสามารถต่อกรกับ วิลเลม เดโฟ นักแสดงมืออาชีพได้อย่างไม่เขอะเขิน  ซึ่งสำหรับผู้เข้าชิงออสการ์หนึ่งเดียวอย่าง วิลเลม เดโฟ เองก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะเขาสามารถถ่ายทอดบทบาทผู้จัดการโรงแรม ที่แม้ภายนอกจะดูเหมือนผู้คุมกฎแต่กลับอ่อนโยนกับเด็กจนเกิดโมเมนต์น่ารัก จากชายหน้าโหดกลายเป็นอีกคน

และ เรายังจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ของชาวอเมริกันชั้นล่างๆ ของสังคม ที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีบ้านเป็นของตัวเอง และ ต้องคอยเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ แถมบางครอบครัวก็เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือซิงเกิ้ลมัมที่ต้องทำทุกวิถีทางแม้จะทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมเพื่อให้ได้เงินมาจ่ายค่าเช่า และ ต้องแสดงให้กรมคุ้มครองเด็กเห็นว่าเธอสามารถเลี้ยงลูกได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ สำหรับเด็ก ในเรื่องนี้เราจะเห็นความป่าเถื่อนรุนแรง หรือพฤติกรรมที่ล่อแหลมของผู้ใหญ่ที่ปรากฏให้พวกเด็กๆ ดูราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ดูหนังฟรี4K

รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเด็กๆ เหล่านี้ จึงมีพฤติกรรมห่ามๆ ทะลึ่งตึงตังออกมา และ ต้องยอมรับความฉลาดในการถ่ายทำของผู้กำกับ ที่บางฉากในหนังเลือกที่จะไม่ให้เราได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น กับตาแต่กลับใช้การเปิดเพลงฮิปฮอปที่มีเนื้อหาทางเพศที่ทำให้เราเข้าใจ และ นึกภาพตามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือการเขียนบท ที่แม้หนังจะพาเราไปดูความซุกซนไร้เดียงสาตลกโปกฮาของเด็ก

รีวิว The Florida Project แดน (ไม่) เนรมิต

แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ หนังก็จะค่อยๆ บีบคั้นอารมณ์ของเราทำให้เกิดความกดดัน และ ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมกับตัวละคร สำหรับการใช้โทนสีของหนัง จะใช้โทนสีที่สดใสฉูดฉาดที่จะสังเกตได้จากการแต่งกายของตัวละครซึ่งเป็นการตัดกันกับเนื้อเรื่องที่ทำให้เรามีความรู้สึกหม่นหมอง ประมาณว่าผู้กำกับปรานีความรู้สึกคนดูเล็กน้อยที่จะไม่ให้หนังมันดราม่าจนเกิดอารมณ์สลดจนเกินไปนัก อีกสิ่งหนึ่งที่หนังเหมือนว่าจงใจจะเสียดสีก็คือการตั้งชื่อสถานที่ในหนังอย่างโมเตลที่ใช้ชื่อว่า เมจิกคาสเซิล ที่ดูแล้วไม่ได้เข้ากับชื่อเลยเพราะเป็นแนวโรงแรมจิ้งหรีดที่มีสภาพแวดล้อมไม่น่าอภิรมย์เท่าใด ตรงกันข้ามกับ เมจิกคิงดอมในวอล์ทดิสนีย์เวิลด์ที่เป็นสถานที่ที่อลังการสวยงามตามแบบฉบับในนิยาย ทำให้เรานึกขำว่าชื่อเมจิกเหมือนกันแต่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เปรียบเทียบเหมือนกับว่าเมจิกอันนึงคือเรื่องจริง ส่วนอีกเมจิกอีกอันนึงคือในความฝัน

แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะโทษ Halley หรือ Moonee ได้เลยเสียทีเดียว หนังเรื่องนี้ยังได้มีการสะท้อนสังคมเล็ก ๆ สิ่งที่ Halley ทำ คือการพยายามเป็นผู้รอดชีวิต ในสังคมที่สุดแสนจะโหดร้าย การไม่ได้เกิดมาเท่าเทียมกับคนอื่น ก็ต้องดิ้น หาทางให้ตัวเองรอดต่อไปในวันพรุ่งนี้ และพยายามให้ลูก และ ตัวเองมีความสุขให้มากที่สุด โดยนึกถึงเรื่องราวเลวร้ายให้ได้น้อยที่สุด โอเคว่าวิธีการหลายอย่างของ Halley อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ทำเพื่อตัวเองและ Moonee นั่นแหละ

อีกส่วนไม่พูดไม่ได้คืองานสร้างของหนังที่เน้นสีสันเพื่อสื่อถึงโลกความไร้เดียงสาของเด็กในครึ่งแรกก่อนจะสลับไปเล่าปมปัญหาของตัวละครผ่านอาคารสีทึมทึบในช่วงหลังที่เป็นมุมมองผู้ใหญ่มากขึ้น ตั้งแต่สีม่วงของโรงแรมเมจิกแคสเซิล หรือสีสันร้านรวงต่างๆ หรือกระทั่งการเลือกสถานที่มาสื่อถึงบริบทสังคมได้อย่างคมคาย สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความแม่นยำของเบเกอร์ ผู้กำกับหนุ่มวิสัยทัศน์ไกลที่สามารถพาคนดูตามติดชีวิตคนตัวเล็กได้ตลอด 2 ชั่วโมงได้อย่างเปี่ยมสีสัน ที่สำคัญคือฉากจบของเรื่องนับว่าทรงพลังในระดับตราตรึงใจและทิ้งให้คนดูเกิดคำถาม ทำให้เราติดตามแบบไม่ได้บังคับเรา

ชอบผู้กำกับที่เล่าเรื่องเก่ง เขาสามารถเล่าเรื่องของคนธรรมดาๆคนหนึ่งให้มันดูมีสีสัน น่าสนใจ และชวนติดตาม ที่ดีคือมันทำให้เราเพลิดเพลินจน2ชั่วโมงของหนังมันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ชอบการเลือกใช้สีของสถานที่ สีของภาพ ที่มันขัดกับเนื้อเรื่อง เพราะทุกสถานที่ในเรื่องมันมีความสีสันสดใส ดูเป็นเมืองแห่งความสุข แต่ตัวเนื้อเรื่องจริงๆมันกลับไม่ได้เป็นเหมือนเมืองที่พวกเข้าอาศัยอยู่ มันมีแต่ความจริงที่อยู่ในบรรยากาศสดใสเฉยๆ  เราชอบแนวคิดของเรื่องนี้ที่ให้เรื่องเกิดเหตุการณ์ในเมืองนี้เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ตั้งของ Walt Disney World มันเป็นโลกแห่งความฝัน มันคือเมืองแห่งความสุข เมืองแห่งเทพนิยาย

แต่ภายนอกมันก็คือโลกแห่งความจริงที่มันไม่ได้สวยหรูเหมือนในนิยาย แค่เมืองนี้มันถูกปกคลุมด้วยเงาของ Walt Disney World เฉยๆ มันเลยจำเป็นต้องมีภายนอกที่สดใสแต่ภายในจริงๆกลับเป็นอะไรที่ตรงกันข้าม อีกเรื่องที่ไม่ชมไม่ได้เลยคือการแสดงของนักแสดงหลักของเรื่องนี้ น้องมูนนี่นั้นเหมือนไม่ได้แสดงแต่คือตัวตนของเธอ เหมือนน้องเกิดมาแล้วเป็นเด็กอย่างงี้เลย เราโคตรเชื่ออ่ะว่าน้องเป็นคนอย่างงี้

จนเราไปดูน้องรับรางวัล น้องไปออกทีวีน้องน่ารักมาก น้องพูดเก่งเหมือนในหนังเลยแค่ไม่เกรี้ยวกราดเท่าในหนังเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆ เราว่าในอนาคตน้องต้องรุ่ง มีงานดีๆ รางวัลเพียบแน่นอน อีกนักแสดงที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Willem Dafoe ที่มาในบทของผู้จัดการของโรมแรมนี้ ดูเป็นบทที่ไม่ต้องเล่นอารมณ์ดราม่า แต่ก็ทำให้เราเข้าถึงบท

แต่เป็นบทที่ต้องเล่นเป็นคนธรรมดาปกติทั่วไป ซึ่งเราว่ามันยากนะ แต่แกก็ทำออกมาได้โคตรดี ทุกการแสดงของแกมันดีทุกครั้ง ไม่ว่าแกจะดุคน หรือตัดเตือนหนักขนาดไหน แกก็ดูเป็นคนใจดีอยู่ดี แกแสดงแบบให้เห็นชัดๆเลยว่าถึงจะดุ จะทำให้เราเห็นว่าแกเป็นคนที่ปากร้ายแต่ใจดีมากๆ เราโคตรเชื่อ และชอบแกมาก

ต้องบอกก่อนครับว่าแม้หนังจะเป็นเรื่องราวของเด็กๆ แต่ไม่ได้เหมาะกับเด็กแถมติดเรทเสียด้วยซ้ำ และก็ไม่ได้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องสนุกสนานขำขันเพราะเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าครับ แต่ถ้าใครชอบแนวดราม่าสะท้อนสังคมในปัจจุบันสมควรดูเป็นอย่างยิ่งครับ ผมให้คะแนน 9 เต็ม 10 ครับสำหรับเรื่องนี้ หักนิดเดียว ตรงที่ตอนจบมันรวบรัดไปนิดนึง ประมาณว่า อ้าว จบงี้เลยหรออารมณ์ค้างเลย แต่ก็เข้าใจว่าต้องการให้เราไปคิดต่อเองว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่หนังสะท้อนให้เราเห็นก็คือ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เสมอ  แม้ว่าแม่จะไม่ได้ดีพร้อมแต่ว่าแม่ก็ไม่เคยจะทอดทิ้งเรา ซึ่งตรงกันข้ามกับสังคมปัจจุบันที่เราเห็น ที่มีแม่วัยรุ่นหลายๆ คนเลือกที่จะทอดทิ้งลูกไม่สนใจใยดี อยากให้หลายๆ คนได้ดูครับหนังเรื่องนี้ ใครอยากดูรีบๆ ดูครับ มีจำกัดรอบและโรง ถ้าชักช้าอาจออกจากโรงก่อนได้ครับ

สรุปแล้วควรค่าแก่การดูหรือไม่

สุดท้ายนี้ ขอฝากหนังเรื่องนี้ไว้ครับ อาจไม่ได้ดูหวือหวาอะไร อาจจะออกไปทางน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ แต่คุณจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้แน่นอนครับ รับรองว่าคุณจะรักเด็กแสบอย่าง Moonee แน่นอน การลองหันมามองคนอื่น คนที่เราดูถูกเหยียดหยาม มองอย่างพยายามทำความเข้าใจก็ไม่เลว เพราะเราทุกคนไม่ได้เหมือนกันซะหมด แต่ที่เราทุกคนทำเหมือนกัน คือการพยายามมีชีวิตให้รอดในทุกวัน เป็นหนังที่สะท้อนสังคมออกมาได้ดีมากๆเลยครับ

หากสนใจอ่านรีวิวหนังเพิ่มคลิ้กเลย รีวิวหนังออนไลน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *