ฉันจะมา รีวิวUnlocked ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังระทึกขวัญสัญชาติเกาหลีใต้ที่เพิ่งลง NETFLIX ในเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และเรื่องนี้ได้รับการถูกพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้ ด้วยเหตุที่หนังมาในแนวระทึกขวัญถูกรสนิยมผู้ชมชาวไทยมาก

และมีการพูดถึงเรื่องโทรศัพท์ให้เป็นปมชวนสงสัยอีก ด้วยเรื่องราวใกล้ตัวที่ว่าด้วยการติดมือถือจนกลายเป็นภัยโดยไม่รู้ตัว เรามาดูกันว่าเรื่องนี้จะลุ้นระทึกมากแค่ไหน สามารถเข้าชมหนังฟรีได้ที่ ดูหนังออนไลน์

รีวิวUnlocked หนัง ลุ้นระทึก แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ

รีวิวUnlocked ภาพยนตร์ของ NETFLIX

ซึ่งเรื่องนี้ Unlocked เป็นหนังได้ถูกดัดแปลงมากจากมังงะญี่ปุ่น และเคยถูกสร้างเป็นหนังญี่ปุ่นมาแล้วในชื่อ Stolen Identity เมื่อปี 2018 พอมาเป็นเวอร์ชันเกาหลีใต้ ก็ได้มอบหมายให้ คิม เทจุน อดีตนักแสดงที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับได้ลองมือเป็นเรื่องแรก

ซึ่งเดิมทีทางค่าย CJ ผู้สร้างวางแผนไว้ว่าจะฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ไม่ทราบด้วยเหตุผลกลใด ถึงเปลี่ยนใจย้ายมาลง NETFLIX เสียแทน แต่ก็ได้รับผลตอบรับดี หนังเข้าชาร์ตอันดับต้น ๆ ทันทีหลังจากเปิดตัวแค่ไม่กี่วันนี้เอง

มาฉันขอพูดถึงเรื่องราวของเรื่องนี้ก่อนนะ หนังเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตของ นามิ ชอนวูฮี สาววัยเพิ่งเริ่มทำงาน ที่เสพติดกับโลกโซเชียลอย่างหนัก แทบจะโพสต์ทุกความเคลื่อนไหวในชีวิตลงสื่อโซเชียล ชีวิตเธอก็ดูจะราบรื่นดี

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอเมาหนักไปหน่อย แล้วพลาดทำมือถือตกบนรถประจำทางโดยไม่รู้ตัว มันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นวิกฤตชีวิตของนามิ เพราะคนที่เก็บมือถือของเธอได้คือ อูจุนยอง อิมชีวาน ฆาตกรต่อเนื่องที่มีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโทรศัพท์มือถือ ถ้าหากสนใจจะรับชมเรื่องนี้ก็สามารถเข้ารับชมได้เลยทมี่ ดูUnlocked

เอาง่าย ๆ ก็คือเหมือนพวกแฮกเกอร์ ในคราบฆาตกรดี ๆ นี้เอง จากนั้นหนังก็แนะนำให้เรารู้จักอีก 2 ตัวละครหลักก็คือ อูจุนยอง ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง และ จีแมน นักสืบแผนกคดีคนหาย

แล้วที่กำลังทำคดีศพปริศนา 7 ร่าง ที่คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน และยิ่งสืบลงไป หลักฐานต่าง ๆ ก็ชี้ไปที่ยุนจอง ซึ่งเป็นลูกชายของเขาเองที่ขาดการติดต่อกันไปนานหลายปี

รีวิวUnlocked ภาพยนตร์ของ NETFLIX

ซึ่งหนัง Unlocked เรื่องย่อ ที่ว่าด้วยฆาตกรต่อเนื่องนั้นมักจะได้รับความสนใจอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนี้ยังเพิ่มประเด็นเรื่องเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือเข้ามาอีก เลยช่วยพึงให้หนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีก

ด้วยการเขียนให้ตัวฆาตกรเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโทรศัพท์มือถือ ก็ยิ่งทำให้หน้าหนังน่าสนใจมากขึ้นไปอีก ไม่เพียงแค่นั้น ทีมผู้สร้างยังเลือกใช้ อิมชีวาน อดีตบอยแบนด์วงเจอา หรือ ZE A ที่หันมาเอาดีในวงการแสดง

แล้วนี่ก็เป็นครั้งที่่ 2 แล้วที่ชีวานได้รับบทเป็นตัวร้ายโรคจิตต่อจาก ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ หนังแอ็กชันฟอร์มใหญ่เมื่อปี 2021 ซึ่งที่จริงด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาสไตล์บอยแบนด์ของชีวานนั้นเป็นพระเอกได้สบาย ๆ

แต่ ๆ ด้วยการสื่อความโรคจิตผ่านทางสายตานี่ล่ะ ที่ส่งให้เขาเริ่มจะไปได้ดีกับบทวายร้ายโรคจิต และในเรื่องนี้ล่ะ ที่บทยุนจองของเขาที่ทำหน้าที่เฟืองสำคัญให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าได้อย่างน่าติดตาม

แต่ละนาทีที่หนังเดินหน้าไป ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของจุนยอง จากจำนวนศพหญิงสาวที่ค้นพบมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เรารับรู้ว่าเขาคือฆาตกรอำมหิตจริง ๆ ที่ฆ่าคนเป็นผักปลาเพื่อความสนุกอย่างเดียว

บวกกับความเชี่ยวชาญในการใช้โทรศัพท์มือถือ ว่าเขาใช้โทรศัพท์มือถือทำอะไรเหยื่อได้บ้าง ซึ่งจุนยองก็สนุกกับการเล่นกับเหยื่อก่อนลงมือฆ่า

ด้วยการกลั่นแกล้งนามิต่าง ๆ นานาผ่านสื่อโซเชียล ตรงนี้ล่ะที่จัดว่าเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ ที่เราได้อึ้งกับความสามารถของตัวร้ายที่ค่อยเผยออกมา และทำให้รู้สึกว่าจุนยองเป็นฆาตกรที่น่ากลัวและเป็นฆาตกรที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย อย่าลืมติดตามการรีวิวของเราได้ที่ รีวิวหนังดัง

ดัดแปลงมาจากหนังและนวนิยายญี่ปุ่น

ถ้าเรามองในแง่ของพล็อตบท และความเป็นงานดัดแปลงมาจากหนัง Unlocked NETFLIX  และนวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง Stolen Identity เมื่อหลายปีก่อน จึงเป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่แล้วในโลกความเป็นจริงวันนี้ เนื้อหาหลัก ๆ จึงอาจคาดเดาได้ไม่ยาก ไม่ตื่นเต้นนัก

แต่ต้องยกความดีงามให้กับผู้กำกับที่สามารถเล่าออกมาได้น่าตื่นเต้นระทึกเสียววูบดี ด้วยภาพและซาวน์ที่ได้จังหวะบิวด์จังหวะลุ้น และเข้าถึงอารมณ์ เสริมด้วยลีลาหน้าจิต ๆ ของ อิมชีวาน และความตื่นตระหนกกลัวของ ชอนอูฮี

นอกจากนี้ งานกราฟฟิคเล่าไลฟ์สไตล์ของชีวิตบนโทรศัพท์ และเทคนิคการใช้ภาพสมจริงบนจอโทรศัพท์แทนสายตาสตอล์คเกอร์ก็ทำได้น่าสนใจ แปลกตาไปจากแบบเดิม ๆ ที่เคยเห็นมา ยิ่งเมื่อบอกว่านี่เป็นงานเดบิวท์ของผู้กำกับ ก็ถือว่าสอบผ่านเลยแหละ

ถึงแม้จะมีหลายเรื่องปลีกย่อยของบทที่ดูอ่อนเหตุผลหรือชวนอึดอัดขัดใจไปบ้าง แต่จุดอ่อนสำคัญสุดของเรื่องนี้ น่าจะอยู่ที่การถูกชี้นำด้วยชื่อเรื่องไทยที่ว่า ทำไม ซึ่งมีพลังดึงดูดในการถาม แต่กลับไม่เจอคำตอบที่มีน้ำหนักนัก

เพราะการไม่ได้ขยายปมที่มาของตัวละครสำคัญ ๆ เช่น โอจุนยอง หรือ อูจีมัน ให้มีเนื้อมีหนัง มีมิติ หรือชวนสำรวจ ทำให้ผู้ชมถูกกรอบด้วยเหตุผลผิว ๆ หลวม ๆ ที่ไปได้ไม่สุด ความโกรธเกลียดหรือสลดใจเลยสะดุดห้วนไปเฉย ๆ ซะงั้น ก็ถือเสียว่าเป็นการโฟกัสเฉพาะรายละเอียดฝั่งเหยื่อกับภัยที่เกิดมากกว่า

ดัดแปลงมาจากหนังและนวนิยายญี่ปุ่น

ในส่วนของมุมกล้องและมุมภาพ รวมทั้งเทคนิคต่าง ๆ ที่หนัง แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ NETFLIX  นำมาใช่ในการนำเสนอนั้น ก็ไม่ได้แปลกใหม่เช่นเดียวกัน มุมกล้องที่โฟกัสตามติดที่โทรศัพท์มือถือ และจอหน้าโทรศัพท์ ไม่ได้เป็นเทคนิคที่ทำให้รู้สึกตื่นตาอะไรเท่าไหร่แล้วเช่นกัน

ถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยภาพรวมของจะสร้างสถานการณ์ออกมาได้ค่อนข้างบีบคั้นและระทึกใจอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนจะยังทำได้ออกมาไม่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่ามันค่อนข้างซ้ำซากจำเจไปสักหน่อย

และการแสดงของทีมนักแสดงก็ถือว่าทำได้ดี แต่ไม่มีอะไรโดดเด่นและรู้สึกชวนว้าวมากนัก เพราะดูเหมือนนักแสดงก็มาพร้อมกับบทเดิม ๆ ของพวกเขาที่ต่างก็เคยถ่ายทอดบทบาทสไตล์นี้มาจากผลงานก่อน ๆ มากันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อิมชีวาน ที่มารับบทเป็นฆาตกรแอบจิตในเรื่องนี้อีกแล้ว เรารู้ดีว่าเขาเป็นนักแสดงที่ถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้ขิงสุด ๆ และยังสามารถติดตามข่าวของนักแสดงในเรื่องได้อีกที่ ข่าวเกี่ยวกับหนัง

Stolen Identity คือหนังอะไรทำไมเรื่องนี้ถึงเอามาดัดแปลง

อย่างแรกเลยที่ฉันจะพูดถึง ฉันขอพูดในส่วน แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ เรื่องย่อ ก่อนนะโทมิตะ หนุ่มดวงซวยที่บังเอิญลืมโทรศัพท์มือถือไว้บน Taxi แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เมื่อมีคนเก็บโทรศัพท์ของเขาไว้ได้และแฟนสาวอย่าง อาซามิ ก็เดินทางไปรับโทรศัพท์กลับมาให้ แต่นั่นเป็นเพียงความโชคดีเดียวที่เขามี

เมื่อจู่ๆ Social Book ของอาซามิค่อยๆ ถูกแฮ็ค รวมถึงโทรศัพท์ของ โทมิตะ เองก็ถูกแฮ็คด้วยเช่นกัน นานวันเข้าความลับของทั้งสองค่อยๆ รั่วไหลถึงกันและกัน จนทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ เกิดรอยร้าว

และเริ่มบานปลายเมื่อผลกระทบจากการโโนแฮ็คโทรศัพท์ค่อยๆ แผ่วงกว้างมากขึ้นไปสู่เพื่อนร่วมงาน เขาทั้งสองจึงต้องรีบหาต้นตอของเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดที่ได้ดูในเทศกาลหนังญี่ปุ่น ด้วยการเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ ที่ค่อยๆ แพร่ขยายไปสู่เหตุการณ์ใหญ่ๆ จนถึงชีวิต เหมือนชื่อภาษาไทยฉบับนิยายที่ว่า แค่ทำโทรศัพท์มือถือหายทำไมต้องกลายเป็นศพ

Stolen Identity คือหนังอะไรทำไมเรื่องนี้ถึงเอามาดัดแปลง

คือดูปุ๊บมันก็ตระหนักเลยว่าเออ ไอ้การทำโทรศัพท์มือถือหายเนี่ยมันมีผลร้ายที่เราอาจจะคาดไม่ถึงตามมาอีกเป็น 10 เป็น 100 อย่างเลย โดยที่ไม่จำเป็นว่าคุณจะมีรูปโป๊ของใคร หรือคลิปลับห่าเหวอะไรก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าดูจบปุ๊บ คุณจะรู้สึกหวงโทรศัพท์ขึ้นมาทันที

แต่ประเด็นที่ทำให้ฉันชอบเรื่องนี้ คือความ STOLEN IDENTITY คือมันขโมยตัวตนจริงๆ SmartPhone ยุคนี้เราเต็มไปด้วยแอปที่ยืนยันตัวตนเราไว้หมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ช่องทางการจ่ายเงินต่าง ๆ ก็พร้อมสรรพ เท่ากับว่าถ้ามันมีคนเอาโทรศัพท์เราไป มันไม่ต่างกับการโดนขโมยตัวตนเราไปพร้อมกันด้วย

ซึ่งพล็อตมันก็ตลบคนดูอีกต่อที่ค่อนข้างช๊อคคนดู  แม้จะมีการค่อย ๆ ปูเรื่องมาเรื่อย ๆ ก็ตาม แม้จะทำออกมาได้ค่อนข้างดีแต่ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่ามันยังขาดความน่าเชื่อถืออยู่หลายจุด

STOLEN IDENTITY เปิดเรื่องด้วยมุมโก๊ะ ๆ ใส ๆ ของคู่ อาซามิ กับ โทมิตะ ก่อนจะผันเข้าสู่ความระทึกขวัญในกลางเรื่อง ซึ่งหนังก็ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นบิดไปสู่ความระทึกขวัญแล้วปิดเรื่องได้อย่างกลมกล่อม เพราอย่างงี้เรื่องนี้ดึงนำมาดัดแปลงเปลี่ยนโฉมให้ทันสมัยและมีความระทึกมากขึ้นอีก

อากิระ ชิงะ คือใคร

แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ อากิระ ชิงะ ผู้ที่เขียนนิยายที่หนังเรื่องนี้เอามาดัดแปลง ซึ่งหลาย ๆ คนคงไม่คุ้นชื่อของเขาเท่าไหร่ ไหน ๆ เรื่องนี้ก็เป็นที่น่าสนใจแล้วฉันถือโอกาสนี้ในการพูดถึงเขาละกัน

ชื่อของเขาคือ โคนัน ล้อเล่น 555 เขาชื่อ อาชิกางะ โยชิอากิระ เขาเกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1330 หรือ 28 ธันวาคม 1367 อันนี้ไม่แน่ใจ เป็นโชกุนคนที่ 2 ของรัฐบาลโชกุนอาชิกางะซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ในปี ค.ศ. 1358 ถึง ในปี ค.ศ. 1367

ในยุคมูโรมาจิ โยชิอากิระเป็นบุตรชายของผู้ก่อตั้งและโชกุนคนแรกของรัฐบาลโชกุนมูโรมาจิอาชิกางะ ทากาอูจิส่วนแม่ของเขาคืออากาฮาชิ โทชิ หรือที่รู้จักในชื่อโฮโจ นาริโกะ

และชื่อในวัยเด็กของเขาคือ เซ็นจูโอ เขาใช้เวลาในวัยเด็กของเขาในคามากูระเป็นตัวประกันของตระกูลโฮโจ ทากาอูจิบิดาของเขาเข้าร่วมกองกำลังกับจักรพรรดิโกไดโงะ

ที่ถูกเนรเทศ จักรพรรดิโกไดโงะกบฏต่อรัฐบาลโชกุนคามากูระ ในการฟื้นฟูเค็มมุ โยชิอากิระช่วยนิตตะ โยชิซาดะในการโจมตีรัฐบาลโชกุนคามากูระ

อากิระ ชิงะ คือใคร

รีวิวแค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ และในปี ค.ศ. 1349 ความวุ่นวายภายในของรัฐบาลทำให้โยชิอากิระถูกเรียกกลับไปที่เกียวโต ซึ่งเขาพบว่าตัวเองได้รับการประกาศชื่อว่าเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งของทากาอูจิ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1352 กองกำลังผู้ภักดีที่นำโดย คิตาบาตาเกะ อากิโยชิ

และ คูซูโนกิ มาซาโนริ และ ชิงูซะ อากิสึเนะ ได้ยึดครองเกียวโตเป็นเวลา 20 วันก่อนที่โยชิอากิระจะสามารถยึดเมืองกลับคืนมาได้ กองกำลังผู้ภักดีที่นำโดย มาซาโนริ และ ยามานะ โทกิอูจิ ยึดครองเกียวโตอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ในปี ค.ศ. 1353

แต่ถูกโยชิอากิระขับไล่ในเดือนสิงหาคม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1355 กองกำลังผู้ภักดีที่นำโดย โมโมโนอิ, ทาดาฟูยุ และ ยามานะ ได้ยึดครองเกียวโตอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เกียวโตถูกยึดครองอีกครั้ง

ในวันที่ 25 เมษายนโดยกองกำลังผสมของทากาอูจิและโยชิอากิระ โยชิอากิระสืบทอดตำแหน่งต่อจากทากาอูจิบิดาของเขาในฐานะโชกุนหลังจากที่บิดาของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1358

รีวิวUnlocked ฆาตกรรมระทึกขวัญ

และสำหรับใครที่ชอบดูหนัง แค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ สปอย ฆาตกรรมระทึกขวัญ น่าจะจับสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ได้ ถ้าเรื่องไหนคนร้ายยิ่งโหดหนังยิ่งมีความลุ้นระทึกมากขึ้น แต่ UNLOCKED ก็ดูเหมือนจะพยายามฉีกตัวเองออกจากสูตรสำเร็จนี้

หนังเผยให้เห็นแต่ความสามารถของจุนยองในการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ตลอดเรื่องเราไม่ได้เห็นจุนยองลงมือกับเหยื่อรายใดเลย ไม่เห็นเหยื่อรายก่อนหน้านามิ มีแต่ภาพศพที่ถูกขุดเจอเพียงเท่านั้น

ซึ่งเมื่อหนังดำเนินไปถึงฉากไคลแมกซ์ เราก็ยังคงได้เห็นแต่รอยยิ้มของจุนยองที่ได้เล่นสนุกกับเหยื่อ แต่ก็ไมได้เห็นถึงความโหดอำมหิตอย่างที่หนังได้พูดถึงเหยื่อที่ผ่านมาของเขา มันก็เลยกลับกลายเป็นว่าความบันเทิงของ UNLOCKED

ซึ่งมันคือการได้เห็นความสามารถของจุนยองที่สนุกกับการกลั่นแกล้งนามิ แต่กลับไม่ได้รับความระทึกกับการไล่ล่าอย่างที่ควรมีในหนังแนวนี้ ใช้คำว่า เป็นหนังฆาตกรโรคจิตที่แทบไม่มีเลือดให้เห็น เลยก็ว่าได้

รีวิวUnlocked ฆาตกรรมระทึกขวัญ

แล้วก็เลยกลายเป็นหนัง Unlocked สปอย ระทึกขวัญที่เล่าไปแบบยั้ง ๆ ได้เห็นความสามารถทางด้านเทคโนโลยีของฆาตกรมากกว่าความโหดของเขา พอถึงนาทีที่นามิรู้ตัวตนที่แท้จริงยุนจอง แล้วได้เผชิญหน้ากัน

ด้วยความที่โทนความระทึกของหนังก็ดรอปลงไป เพราะไม่มีเรื่องเทคโนโลยีมือถือที่เป็นจุดขายหลักของหนังเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว แล้วตลอดชั่วโมงกว่าที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เห็นความโหดของจุนยองเลย

และจุนยองของอิมชีวานก็เลยเป็นตัวร้ายของเรื่องที่โรคจิตแต่ไม่น่ากลัว จนไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นต่อชะตากรรมของเหยื่ออย่างที่ควร เปรียบเทียบตัวอย่างใกล้ ๆ กัน กับฆาตกรใน คืนฆ่าไร้เสียง หนังเกาหลีใต้เหมือนกัน รายนั้นน่ากลัวกว่าเยอะ ดูแล้วยังต้องลุ้นกับชะตากรรมของเหยื่อ

และหนังจบด้วยภาพฟุตเทจผู้คนบนท้องถนน ที่ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เหมือนกับเป็นการกระตุ้นให้ฉุกคิดว่า ถ้ามีคนที่เชี่ยวชาญโทรศัพท์มือถือแล้วเป็นฆาตกรต่อเนื่องอย่างจุนยองขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ จะน่ากลัวเพียงไหน

แล้วเราจะป้องกันตัวกันอย่างไร ซึ่งวันนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เพราะเรา ๆ เองก็เผชิญกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กันอยู่ทุกวัน ๆ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จัดว่าเชี่ยวชาญเทคโนโลยีมือถือเพียงแต่พวกนี้มุ่งไปที่เงินในบัญชี ยังไม่ได้มุ่งร้ายเอาชีวิตใครอย่างที่จุนยองทำ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นจริง เพราะ UNLOCKED นี่ก็เปรียบเหมือนเหตุการณ์จำลองที่ถูกเตือนใจขึ้นมาโดยประเทศผู้ผลิตมือถืออันดับ 1 ของโลกเองเลย

บทบาทของเรื่องนี้

รีวิวแค่ทำโทรศัพท์มือถือหาย ทำไมต้องกลายเป็นศพ ซึ่งเราก็เคยประทับใจเขาจากผลงานเรื่องก่อนหน้านี้ของเขามาก่อน อย่าง Emergency Declaration พอมาถึงเรื่องนี้จึงไม่มีอะไรในน่าจดจำได้มากสักเท่าไหร่ เพราะบทบาทค่อนข้างซ้ำไปนิด

และเช่นเดียวกับ ชอนอูฮี ที่บทในหนังระทึกขวัญแบบนี้กลายเป็นอะไรที่จำเจกับเธอมากไปแล้ว อยากให้ไปรับงานสไตล์โรแมนซ์ใส ๆ ดูบ้าง เพราะก็เป็นอีกครั้งที่เธอเล่นได้ดี แต่บทค่อนข้างซ่ำจากผลงานเก่า ๆ ของตัวเองอีกครั้ง

เอาเป็นว่าโดยภาพรวมนั้น Unlocked ก็จัดได้ว่าเป็นหนังระทึกขวัญที่สะท้อนมุมมองปัญหาของอาชญากรรมไซเบอร์ในสังคมปัจจุบัน การเล่าเรื่องค่อนข้างไหลลื่นดี และสามารถบีบคั้นอารมณ์ผู้ชมได้ดี เพียงแต่ว่าแอบเสียดายไปสักหน่อย

บทบาทของเรื่องนี้

เพราะหนังแนว ๆ นี้ที่เกาหลีก็มีสร้างออกมาแทบจะทุกปี จึงกลายเป็นองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยความซ้ำเดิม มีเรื่องอื่นที่ยังชวนตื่นเต้นได้กว่านี้ แม้นักแสดงจะเล่นได้ดีทุกคน แต่บทบาทก็ซ้ำเดิมอย่างไม่น่าสนใจนัก

และคุณค่าสำคัญของเรื่องนี้ ก็คงต้องยกให้กับประเด็นเตือนสติการใช้โทรศัพท์ เพิ่มความระมัดระวัง ลดความเป็นสังคมก้มหน้า ติดโทรศัพท์ที่มากเกินไปได้บ้าง จริง ๆ แล้วนอกจากลดโอกาสเกิดเหตุแล้วก็ยังอาจเพิ่มโอกาสของเรื่องดี ๆ ได้ด้วยนะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *