รีวิวหนัง เรื่อง Venom2
ในภาคแรก ‘Venom’ (2018) รีวิวหนัง เรื่อง Venom 2
เป็นผลงานการกำกับของ รูเบน เฟลสเชอร์ (Ruben Fleischer) ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากงานอย่าง ‘Zombieland’ (2009) โดยเป็นความพยายามที่จะสร้างตัวร้ายจากจักรวาลหนังสไปเดอร์-แมนที่โซนี่ถือสิทธิ์สร้างภาพยนตร์เอาไว้ให้ภาพลักษณ์เป็นแอนตี้ฮีโร่ เพื่อที่จะนำมาเจอกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือ สไปเดอร์-แมน ฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland)
หรืออาจจะนำมาทำหนังรวมดาวร้ายอย่าง แก๊ง Sinister Six ในจักรวาลหนังสไปเดอร์เวิร์สของตนเองโกยเงินรับทรัพย์ต่อไป ดูหนังฟรีออนไลน์
และในภาพรวมถือว่าหนังภาคแรกก็ไม่ได้เล่นท่ายากในการเล่าเรื่องเพื่อรับประกันความสำเร็จไปแล้ว พอมาภาคนี้ได้มีการเปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) นักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงตัวละครโมชันแคปเจอร์ อย่าง กอลลัม หรือ ซีซาร์ แต่สำหรับผลงานด้านการกำกับยังต้องพิสูจน์ตัวต่อไป เพราะผลงานอย่าง ‘Mowgli’ (2018) นั้นยังเทียบความสนุกกับฝั่ง ‘The Jungle Book’ (2016) ของดิสนีย์ที่ออกฉายก่อนแทบไม่ได้เลย
หนังใช้เรื่องราวจากไอเดียของ เคลลี มาร์เซล (Kelly Marcel) ที่ร่วมเขียนบทในภาคแรก กับ ทอม ฮาร์ดี้ (Tom Hardy) ที่ควบตำแหน่งนักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้างของหนัง โดยดัดแปลงเนื้อหาในคอมมิกช่วง ‘Maximum Carnage’ ที่คาร์เนจร่วมมือกับชรีก อาชญากรสาวที่ใช้พลังเสียงตั้งตนเป็นพ่อแม่ของแก๊งวายร้ายออกจู่โจมเมืองนิวยอร์กและต้องปะทะกับกลุ่มฮีโร
ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์-แมนและเวนอมด้วย โดยปรับความสัมพันธ์ของคาร์เนจกับชรีกให้เป็นคู่รักในโรงเรียนดัดสันดานที่ถูกจับให้พลัดพรากกันแทน ซึ่งเอาจริงก็ดูน่าสนใจขึ้น ตัวละครมีมิติมากขึ้น ทว่าก็ยังติดปัญหาบางอย่างที่จะขอยกยอดสรุปในทีเดียว
และเนื้อหาในส่วนของฝั่งบล็อกกับเวน่อมนั้น ใช้สืบเนื่องจากหนังในภาคแรกมาต่อทันที โดยแทบไม่ได้ปูพื้นใหม่จึงควรดูหนังในภาคแรกมาก่อน แต่ในภาคนี้ก็จะลดเรื่องราวปลีกย่อยลง โลกในหนังดูเล็กลงและอยู่ในสถานที่ไม่กี่แห่ง ตัวละครไม่กี่คน แม้แต่ช่วงที่คาร์เนจอาละวาดหนักสุด เราก็ไม่ได้เห็นความหวาดผวาของเมืองมากเท่าที่ควร ราวกับว่าไม่มีใครรู้เลยว่ามีปีศาจระดับภัยพิบัติอาละวาดอยู่กลางเมืองนอกจากพวกตัวเอกที่เกี่ยวข้องโดยตรง
แต่ที่ต่างจากภาคแรกมากสุดคือ ดูเหมือนเซอร์คิสก็อาจจะมีไอเดียที่อยากยกระดับการเล่าเรื่องเวนอมให้หนักขึ้น ซับซ้อนขึ้น เป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ต้องใช้คำว่า อาจจะ เพราะเราเห็นร่องรอยการปะผุแก้การเล่าเรื่องอยู่หลายครั้ง ที่พอเดาได้ว่าหนังเคยมีอีกเวอร์ชันที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องในอีกแบบ ซึ่งเดาว่าในตอนแรก ฟรานเซส บาร์ริสัน ตัวละครของ นาโอมี แฮร์ริส (Naomie Harris) น่าจะไม่ได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้นเรื่อง
และทำให้การกระทำของตัวละคร คลีตัส แคสซาดี ของ วูดดี ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson) ที่เชื้อเชิญบล็อกให้มาทำข่าวนั้นชวนเป็นปริศนาและลึกลับ คล้ายการต้อนเล่นของฆาตกรอัจฉริยะกับผู้สัมภาษณ์ใน ‘The Silence of the Lambs’ (1991) และจะทำให้การกระทำของ นักสืบมัลลิแกน ที่รับบทโดย สตีเฟน กราแฮม (Stephen Graham)
ที่ดูผิดแปลกในบางฉากอยู่ในหนังตอนนี้นั้นดูสมเหตุสมผลขึ้นทันที (และเป็นจุดที่ทำให้เดาว่าหนังน่าจะเคยเล่าอีกแบบมาก่อน)
และแม้หนังจะมีศักยภาพที่หนักขึ้นได้ โหดขึ้นได้ เป็นหนังเรต R เต็มตัว เพราะเมื่อรวมกับเรื่องที่เวนอมกับคาร์เนจนั้นต้องมีการเขมือบหัวคนสด ๆ โชว์หน้ากล้องตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ยิ่งในภาคนี้ร่างหลักของคาร์เนจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่บารมีความน่ากลัวน่าจะมีมากกว่าตัวร้ายอย่าง ไรออต ในภาคแรกที่อย่างน้อยฉากการต่อสู้ของไรออตกับเวนอมมันก็ดุดัน ยิ่งใหญ่ และเร้าใจแต่สุดท้าย ‘Venom: Let There Be Carnage’ ก็ยังติดกับเรต PG-13 และความพยายามเป็นหนังตามสูตรที่ใครก็เข้าใจง่ายจนมากเกินไป
จึงทำให้หนังไม่พยายามทำตัวมีเหตุมีผล มีความเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจจริง ๆ เท่าไร เหมือนเรากำลังดูตัวการ์ตูนที่ทำสิ่งต่าง ๆ เพราะมันเขียนอยู่ในบท เพื่อให้มันเกิดฉากถัดไปและถัดไปอยู่เสมอ จนเหมือนฉากชนฉาก ไม่มีเวลาให้กับการเล่าความคิดจิตใจตัวละครอย่างจริงจัง จนหนังมีความยาวเพียง 97 นาที น้อยที่สุดในบรรดาหนังฮีโรในปัจจุบันกันเลยทีเดียว
และน่าเสียดายที่หนังได้นักแสดงมากฝีมือมามากมาย แต่แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดนี้หลายการกระทำอย่างการย้อนคิดถึงอดีตก็ดูเชยและยัดเยียดเกินจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด ฉากต่อสู้ก็ไม่ได้โดดเด่นจนรู้สึกคาร์เนจมีเอกลักษณ์อะไรน่าจดจำนัก
นอกไปจากฉากการเปลี่ยนร่างที่ดูน่าสยดสยองขึ้น เมื่อเทียบกับไรออตที่เปลี่ยนอวัยวะเป็นอาวุธหลายรูปแบบขณะสู้ยังดูมีอะไรให้เล่นได้มากกว่ามุกที่พยายามใส่เข้ามาก็ออกทางฝืดเสียส่วนมาก เหมือนเอาผู้ใหญ่ที่ไม่ทันมุกสมัยใหม่มาคิดบทให้คนดูหนังรุ่นใหม่ขำ ดูแค่วัตถุดิบของหนังจริงแล้วมันน่าจะเป็นหนังคู่หูตลกร้ายที่มีตัวชงตัวตบได้ตลอดเวลาแบบสนุก ๆ เลย
แต่มันก็ไปไม่ถึง กลายเป็นหนังแอนตี้ฮีโรที่ดูเพลิน ๆ ให้มันจบไป เพื่อเอาข้อมูลไปดูเรื่องอื่นในจักรวาลสไปเดอร์เวิร์สต่อเท่านั้นและทำให้ส่วนที่เจ๋งที่สุดของหนังอาจเป็นการเผยรายละเอียดเล็กๆ ที่ส่งผลต่อในหนังเรื่องอื่นอย่าง ฉากหนึ่งของนักสืบมัลลิแกนในช่วงหลัง หรือฉากหลังเครดิตของหนังที่ยาวเพียงไม่กี่วินาทีแต่น่าตื่นเต้นได้มากกว่าหนังทั้งเรื่องเสียอีก
และไอ้ไม่กี่วินาทีที่ว่านี้ล่ะก็อาจเพียงพอแล้วที่ทำให้ต้องดูหนังเรื่องนี้ และอาจสำคัญมากสำหรับใครที่รอดู ‘Spider-Man: No Way Home’ (2021) ด้วยประวัติและเกร็ดน่ารู้ของ VENOMประวัติของ Venom(เวน่อม) เป็นที่ถกเถียงในหมู่แฟนคลับ บ้างก็ว่าเป็นแค่อาวุธที่มีจิตใจ บ้างก็ว่าเป็น เอเลี่ยนจากดาวKlyntar(คลินทาร์) แต่จริงๆแล้ว Venom คือ ชื่อของเชื้อSymbiote (ซิมบีโอต)ตัวปรสิตจากต่างดาวตัวหนึ่งที่มาสิง Eddie Brock (เอ็ดดี้ บร็อก) (ถ้าเป็น Symbiote ตัวอื่น ที่สิงคนอื่นก็จะไม่ได้เรียกว่า Venom)
Venom เป็นตัวดีหรือตัวร้าย? รีวิวหนัง เรื่อง Venom2
ภาพยนตร์ และหนังสือการ์ตูนได้เล่าที่มาหรือประวัติในการครอบครอง Venom ที่ต่างกันไปในฉบับภาพยนตร์ Spider-man 3 ตอนแรกเชื้อ Symbiote ปริศนา ได้มาเกาะPeter Parker (ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์) บนโลกมนุษย์ ทำให้เขามีพลังและเหี้ยมโหดมากขึ้น ปีเตอร์จึงตัดสินใจสละ Symbiote ทิ้ง ต่อมา Eddie Brock (เอ็ดดี้ บร็อก)นักข่าวจากเดลี่บูเกิล (ที่ทำงานเดียวกับ Peter) ได้ไปตัดต่อรูป Spider-man เพื่อชิงตำแหน่งหน้าที่กับ Peter แต่โดน Peter มาแฉ ทำให้ถูกไล่ออก
แถมยังเป็นศัตรูหัวใจเพราะ Eddie ก็หลงรัก Gwen stacy (เกว็น สเตซี่) เขาได้ไปโบสถ์เพื่อขอโทษพระเจ้าที่เขาจะไปฆ่าตัวตาย แต่บังเอิญถูก Symbiote เข้าสิงร่างเสียก่อน ด้วยความชิงชังต่อ Peter ทำให้เขากลายมาเป็น Venom คู่ปรับของ Spider-manในฉบับหนังสือการ์ตูน เชื้อ Symbiote ตัวหนึ่งได้เกิดขึ้นมาใหม่บนดาว Klyntar แต่ดันไปผสานร่างกับ
เอเลี่ยนที่มีจิตใจชั่วร้าย ทำให้ปรสิตนั้นมีจิตใจชั่วร้ายด้วย เจ้าของร่างใช้พลังจาก Symbiote สังหารชาว Klyntarตัวอื่น จนในที่สุดเชื้อ Symbiote นั้นก็ได้ถูกกักขังไว้ในแคปซูล เพื่อจะให้มันตายไปเพราะไม่มีร่างให้ยึดเหนี่ยว
จนกระทั่ง Spider-manไปพบเข้าโดยบังเอิญ เขาใช้มันเป็นอาวุธแทนเครื่องพ่นใยที่พังไป และเกิดถูกใจในพลังของมันจึงพากลับมาที่โลกด้วยในภายหลังเขาก็รับรู้ถึงความน่าสะพรึงของเจ้าเชื้อเพราะมันควบคุมร่างเขาในตอนกลางคืน ไปปราบอธรรมด้วยวิธีการโหดเหี้ยม เขาจึงไปขอให้ Reed Richards(รีด ริชาร์ด) จาก Fantastic four ช่วยกำจัดมันทิ้ง โดยใช้คลื่นเสียงแยกออกมา
แต่มันได้หนีไปและพยายามเข้าสิง Spider-man อีกรอบ เขาจึงใช้เสียงระฆังโบสถ์ขับไล่มันออกมา จนมันไปสิง Eddie ที่มาที่โบสถ์เพราะมาสารภาพบาปว่าจะฆ่าตัวตาย เพราะเขาเขียนข่าวที่เปิดเผยโฉมหน้าของ Sin Eater ฆาตกรโรคจิตโดยที่ไม่มีหลักฐาน แต่สไปเดอร์แมนจับฆาตกรตัวจริงได้ เขาจึงถูกไล่ออกจากงาน ภรรยาก็ทิ้ง พ่อก็ตัดความสัมพันธ์ (ในภายหลังMarvelได้ให้เขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายด้วย)