รีวิว Jason Bourne The Bourne Identity ล่าจารชน ยอดคนอันตราย วันนี้เรามาคุยกันถึงหนังแนวสืบสวนสอบสวนอย่างเรื่อง Jason Bourne หรือชื่อภาษาไทย เจสัน บอร์น ยอดจารชนคนอันตราย เจสันบอร์น ภาค 1-5 ที่ตัวเอกชื่อ เจสัน บอร์น ซึ่งได้ Matthew Paige Damon ( แมตทิว เพจ เดมอน )
มารับบทบาทนี้ ซึ่งในเรื่องนี้ได้เป็นอดีตสุดยอดสายลับของ CSI ถือได้ว่าเข้ากับบท สุดๆ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ พระเอกจะโชว์ความสามารถ แหละไหวพริบ ทั้งการหลบหนีการติดตาม อีกทั้งยังมีการสืบหาความจริง นั้งดูไปลุ้นตามไปตลอดทั้งเรื่อง มีฉากแอ็คชั่นมันๆ ให้เจสัน บอร์น ได้โชความเทพกันด้วย ใครอยากรับชมสามารถ รับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์ฟรี
นอกจากนี้ พอล กรีนกราสส์ (จาก The Bourne Supremacy และ The Bourne Ultimatum) ยังกลับมารับหน้าที่ผู้กำกับอีกด้วย เจสันบอร์นภาค 1ภาษาไทย ภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้กวาดรายได้จาก 4 ภาคแรก มากกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กลับมาคราวนี้ เจสัน บอร์น มาพร้อมกับความทรงจำ แม้ว่าจะจำได้ทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างเสมอไปภาคนี้ทิ้งห่างจากภาคก่อนถึง 9 ปี
โดย พอล กรีนกราสส์ ผู้กำกับภาพยนตร์บอกว่า กว่าจะกลับคราวนี้ใช้เวลานาน เพราะเรายังไม่ได้บทที่โดนใจ เจสัน บอร์น ทุกภาค และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เจสัน บอร์น ไม่ได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จึงไม่ต้องใส่หน้ากากหรือผ้าคลุม เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผมคิดว่าตอนที่คนดูเจสัน บอร์น พวกเขาสามารถจินตนาการได้ว่าจะตอบโต้กับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้อย่างไร มันตื่นเต้นมากเวลาที่คุณเห็นเขาคิดแผนการและเริ่มปฏิบัติการตามแผน ดูหนังฟรี
รีวิว Jason Bourne ความบู๊ของ เกมส์ล่าจารชน
The Bourne Supremacy สุดยอดเกมส์ล่าจารชน (2004) เมื่อครั้งปี 2003 ผมได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง Jurassic Park 3 ซึ่งแน่นอนที่ว่าก่อนจะได้ดูหนัง เราต้องได้เห็นตัวอย่างหนังกันก่อน และตัวอย่างหนังเรื่องที่ว่าก็คือ The Bourne Supremacy ที่ผมยังไม่ประสีประสาตามข่าวหนังแบบในสมัยนี้ อดตื่นเต้นไม่ได้ที่ว่า ว้าว! จะมีภาคต่อเหรอเนี่ย และเมื่อหนัง The Bourne Supremacy เข้าโรง ผมก็ได้เดินทางเข้าไปชม
The Bourne Supremacy ออกฉายในปี 2004 เรื่องราวกล่าวถึงชีวิตของ เจสัน บอร์น (แมท เดมอน คนเดิม) ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบกับ มารี มาแล้วถึง 2 ปี แต่เขามักจะฝันร้ายไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาเสมอว่าเป็นใครกันแน่เสมอ
ทุกอย่างดูเป็นปกติดี จนกระทั่ง CIA ได้ส่งคนมาสังหาร เจสัน บอร์น อีกครั้ง
ล่าจารชน ยอดคนอันตราย 7 การสังหารสำเร็จแต่ไม่ใช่กับ บอร์น แต่เป็น แฟนสาวของเขานามว่า มารี เมื่อ บอร์น ตั้งตัวได้ เขาจึงออกเดินทางเพื่อตามหาความจริง และทวงแค้น
แม้โครงการเทรดสโตนส์ ที่สร้างตัวเขาขึ้นมาจะยุบลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทางการจะไม่ต้องการให้ตัว เจสัน บอร์น มีชีวิตอยู่ต่อไป เขาจึงต้องเดินทางไปไล่ล่าแล้วงัดเอาทุกอย่างที่เขามีไปทำลายเหล่าผู้คนที่มายุ่งกับชีวิตเขา
ตัวหนังภาคที่ 2 ได้ผู้กำกับ พอล กรีนกราส มารับหน้าที่แทน ดั๊ก ไลแมน ซึ่ง พอล ได้สร้างความแตกต่างให้กับตัวหนังอย่างมาก ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือ การไล่ล่าที่มันส์ขึ้นแบบเต็มพิกัด
พอล กรีนกราส ได้นำเอาวิธีการถ่ายกล้องแบบนรก (Handgeld) ที่ผมเรียกแบบนั้นเพราะเป็นการถ่ายทำฉาก เจสัน บอร์น 1 037 ไล่ล่าแบบเหวี่ยงมุมกล้อง ส่ายไปส่ายมา มึนหัวมากๆ แต่แปลกทำไมมันออกมาโคตรมันส์เลยหว่า
โดยการอนุมัติทุนสร้างที่มากกว่า ภาคที่ 2 จึงได้เดินทางไปหลากหลายโลเคชั่นของโลก แน่นอนว่าการไล่ล่าในแต่ละฉากทำออกมาได้สมจริง และแตกต่างสถานที่กันไปในแต่ละประเทศ
ฉากที่น่าตื่นตะลึงขอยกให้เป็นการไล่ล่าทางรถยนต์ระหว่างเหล่า ตำรวจ นักฆ่าที่รับบทโดย คาร์ล เออร์แบน และ เจสัน บอร์น ที่ทำออกมาได้ถึงใจอย่างมากถึงมากที่สุด
การแสดงของ แมท เดมอน บอกได้เลยว่าไม่มีที่ติใดๆ เขากลายเป็น เจสัน บอร์น แบบเต็มตัวไปแล้ว ตัวรายได้ของภาคนี้ก็ทำไปถึง 288 ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่าเมื่อมาได้ดีก็ต้องมีภาคต่อไปครับ
คำวิจารณ์ของตัวหนังก็ออกมาในทางที่ดี กลายเป็นหนังภาคต่อที่สานเรื่องราวจากภาคแรกได้อย่างดีเยี่ยมและไม่เละเทะจนเกินไป ส่วนผสมที่ลงตัวทั้งผู้กำกับ และนักแสดงทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ รีวิวหนังออนไลน์
The Bourne Ultimatum (2007)
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าหนังแฟรนไชส์สายลับเรื่องนี้กำลังจะฉายภาคต่อเป็นภาคที่ 4 (ส่วนตัวไม่อยากนับภาคเจเรมีแต่ถ้าใครนับก็เป็นภาคที่5) เจสัน บอร์น 7 ในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ kuเลยจัดไตรภาครำลึกซะ ตอนดูภาคแรกจบ ยังสุดยอดเหมือนเดิม แต่ยังเก็บความรู้สึกตัวเองได้
ไม่อยากลงรีวิว โอเคดูภาค2ต่อ พอดูจบ แน่นอน ยังสุดยอดเหมือนเดิม แต่ยังเก็บอารมณ์ได้อยู่ ไม่อยากลงรีวิว แต่พอ ku ดูภาค3จบเท่านั้นแหละ ทนไม่ไหวแล้วเว่ยยยยยย ขอมาระบายหน่อยก็แล้วกัน อิสัส The Bourne ภาค 3 มีชื่อภาคว่า Ultimatum เป็นหนังที่ไร้ที่ติจริงๆ พลิก แผน ล่า ยอดจารชน 6 ส่วนตัวหนังภาคนี้ให้เป็นรองแค่ The Dark Knight (2008) และ Inception (2010) เท่านั้น และยิ่งกว่านั้น มันเป็นหนังจบไตรภาคที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมา
ซึ่งหนังส่วนใหญ่จะมาพังที่ภาค3 เหมือนเป็นอาถรรพ์ยังไงยังงั้น แต่ไตรภาคนี้รู้สึกหนังมันพัฒนาขึ้นทุกภาค ส่วนตัวให้คะแนน 8.5,9,9.5 ตามลำดับ ตั้งแต่ดูหนังมา ไม่เคยให้คะแนนหนังภาคต่อเรื่องไหนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมาก่อนเลย เว็บดูหนังฟรี
บทสรุปของเรื่องนี้
ก่อนที่จะพูดถึงภาคนี้ ขอพูดเกี่ยวกับเจสัน บอร์นในภาพรวมก่อน เขาคือสายลับจากภาพยนตร์คนแรกเลยก็ว่าได้ที่เรารู้สึกจับต้องได้ในโลกของความเป็นจริง ดูไม่โอเวอร์ ไม่หลุดโลก ไม่มีอุปกรณ์สุดไฮเทค มีแต่ไหวพริบ เซ้นส์การเอาตัวรอดและสิ่งของรอบข้างให้เป็นประโยชน์ และด้วยความที่เจสันถูกหมายหัวโดยการจับตาย
ย้ำ จับตายนะครับ เจสัน บอร์น 1 imovie โผล่มาคือยิงลูกเดียว ไม่มีฉากปัญญาอ่อนแบบที่พระเอกโดนจับไปมัดแล้วตัวร้ายก็มายิ้มสาธยายแผนการชั่วร้ายให้ฟัง ไม่มีนะครับ และนี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างของหนังชุดเรื่องนี้ เพราะพระเอกจะพลาดไม่ได้เลย พลาดเท่ากับตายสถานเดียว อ่อ และฉากต่อสู้ที่เน้นศิลปะป้องกันตัวจริงๆ
ดูดิบๆเถื่อนๆดี และสุดท้ายนักฆ่าแต่ละคนที่ถูกส่งมาฆ่าเจสันไม่ได้กระจอกนะครับ เก่งสัสๆทุกคน และไม่ได้พลาดท่าแพ้พระเอกแบบง่ายๆโง่ๆ นอกจากต่อสู้กันด้วยศิลปะป้องกันตัวแล้ว ยังมีชิงไหวชิงพริบ ชิงเล่เหลี่ยมกันตลอดเวลา
เจสันบอร์นยังแสดงให้เราเห็นอีกว่า สิ่งของรอบข้างที่เราไม่คาดคิด สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธได้หมดถ้าอยู่ในมือของเขา คนเหี้ยอะไรเก่งชิบหาย
ภาค Ultimatum นี้เป็นบทสรุปของเรื่องทั้งหมด เราจะรู้ว่าเจสันบอร์นคือใคร แล้วทำไมถึงต้องโดนตามฆ่าอยู่ตลอดเวลา แค่ช่วงแรกของหนังแม่งก็สนุกแล้ว มาถึงพี่แกก็โชว์ไหวพริบและสติปัญญาอันชาญฉลาดเลย แล้วแบบทุกการกระทำของบอร์นแม่งมีผลกระทบตลอด เป็นภาคที่ ku พูดคำว่า “เหยดดด” บ่อยมาก แถมฉากต่อสู้ที่มันส์กว่าเดิม สะใจกว่าเดิม ยิ่งฉากไล่ล่ากันที่แม่งโคตรระทึก ด้วยมุมกล้องของหนังด้วยแหละเลยรู้สึกถึงความเรียลลิตี้ ทำให้เราไม่รู้สึกเลยว่าหนังมันขี้โม้หรือโอเวอร์เกินจริงเลย ภาคนี้ขอยกให้เป็นหนังสายลับที่ดีที่สุดตั้งแต่ดูหนังมาเลยก็แล้วกัน เว็บรีวิวหนัง