รีวิวหนังสยองห่วย Nobody Sleeps In The Woods Tonight 2
Nobody Sleeps In The Woods Tonight (2020) คืนผวาป่าไร้เงา เป็นภาพยนตร์แนวเชือดเลือดสาดจากประเทศโปแลนด์ที่กำกับและเขียนโดย Bartosz M. Kowalski กับ Jan Kwieciński และ Mirella Zaradkiewicz ซึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2021 Netflix ยืนยันว่า พี่ Kowalski และทีมงานของเขาได้เริ่มการผลิตภาคต่ออย่างเป็นทางการแล้ว ชมได้ที่ ดูหนัง
หนังสยองขวัญที่มาลงในเน็ตฟลิกซ์ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีนอีกเรื่อง โดยคราวนี้เป็นแนวไล่เชือดกันทื่อๆคือจะไล่ฆ่ากันเอามันส์อย่างเดียว แล้วก็เป็นหนังทุนต่ำแบบเกรดบีลงแผ่นสมัยก่อน ซึ่งในยุคนี้น่าจะแทบไม่เหลือสักเท่าไรแล้ว แต่พวกพี่แกไม่รู้คิดอะไรก็ยังคลอดหนังเรื่องนี้ออกมาอยู่อีก อีกทั้งไม่คิดที่จะยกระดับเรื่องราวต่างๆ ให้มีความแปลกใหม่อะไรเลยสักนิดเดียว พูดง่ายๆว่าเล่นกับตรงๆแบบหนังสยองขวัญเกรดบีสมัยก่อนเลย
เรื่องราวต่อจากตอนจบที่นางเอกสามารถแก้แค้นตัวประหลาดสองพี่น้องได้อย่าสะใจ แต่กลายเป็นว่าพวกนี้มันฆ่าไม่ตายสามารถฟื้นกลับมาได้อีก ซึ่งตำรวจก็จับพวกนี้มาขังพร้อมกับนางเอก ก่อนที่เรื่องราวจะวนกลับไปยังจุดเดิมอีกครั้งเมื่ออุกกาบาตในตอนจบยึดร่างนางเอกแล้วเปลี่ยนเธอเป็นสัตว์ประหลาดแบบเดียวกับพี่น้องคู่นั้น โดยเป้าหมายของเธอคือเข่นฆ่าผู้คนเพื่อสร้างวันสิ้นโลก
หนังภาคแรกว่าทำอะไรที่มันขัดใจมากๆแล้ว พอมาเจอในภาคนี้ยิ่งหนักเข้าไปอีกจนถึงขั้นหนังอะไรครับเนี่ย คิดว่าพอที่จะให้อภัยได้ว่าครึ่งแรกการเดินเรื่องต่อจากตอนจบมาที่สถานีตำรวจเพื่อปูให้มีตัวละครใหม่ถือว่ายังพอน่าสนใจได้บ้าง โดยตัวหนังวางให้มีตัวละครหลักเป็นตำรวจหนุ่มที่แอบปิ๊งตำรวจสาวในสถานี ก่อนที่เขาจะออกไปตามหาหัวหน้าที่หายไปกับนางเอกภาคแรกแล้วพบกว่าเธอกลายเป็นสัตว์ประหลาดไล่ฆ่าผู้คนไปซะแล้ว(ก็เพราะพวกมรึงจับเขาขังไว้ด้วยกันไม่ใช่รึไงฟ๊ะ) ตัวหนังดูเป็นแนวหนังสัตว์ประหลาดสุดโกงที่คนละแนวจากแนวฆาตกรโรคจิตแบบภาคแรก เพราะเจ้าตัวนี้มีทั้งความไว พละกำลังเหนือมนุษย์ ต่างจากพี่น้องสองคนในภาคก่อนที่อ้วนๆ อืดๆ ตัวเรื่องพยายามให้เหมือนหนังล่าสัตว์ประหลาด ผ่านการทะเลาะเบาะแว้งของตัวละครในทีมของภาคนี้ที่มีทั้งตำรวจ อาสา ชาวบ้านมารวมกันจัดการเจ้าตัวนี้ ซึ่งช่วงครึ่งแรกนี้แม้จะมีบทแบบเรียกความแหวะเลือดสาดเพื่อเป็นฉากสยองก็พอเข้าใจได้ (อย่างคนวางกับดักโดนซะเองจนมือขาด) แต่พอตัวเรื่องเข้าครึ่งเรื่องกลับเปลี่ยนทิศทางไปคนละแนวเลยทั้งๆที่ควรจะเริ่มเข้าเนื้อเรื่องหลักได้แล้วแท้ๆ
พอมาพูดถึงครึ่งหลังเนื้อเรื่องกลับกลายเป็นแนวอะไรก็ไม่รู้แบบสมองคนดูสั่นไปหมดแล้วได้เลย เมื่อตัวเอกตำรวจหนุ่มในภาคนี้กลายมาเป็นคู่รักกับนางเอกที่เป็นสัตว์ประหลาดแบบงงๆ เดี๋ยวเฮ้ยคนดูงงตาแตกว่ามันไปรักกันตอนไหน แถมยังพยายามขายฉากพูดคุยโรแมนติกแบบสัตว์ประหลาดสองคนจู๋จี๋กัน ก่อนจะมีอะไรด้วยกันอีก พร้อมเพลงประกอบจากสยองก็กลายเป็นแนวโรแมนท์ขึ้นมาซะงั้น เอาเข้าไป ซึ่งครึ่งหลังนี่นอกจากจะไม่ค่อยสยองแล้วยังพยายามทำให้ตลกพาเครียด ก่อนเรื่องจะจบลงแบบแนวหึงหวงชู้สาวตัวประหลาดตายแบบโง่ๆ โดยที่เรื่องก็ยังอุตส่าห์มีเอนด์เครดิตลากไปยังภาคต่อไปได้อีก เหมือนเป็นการวางเรื่องแล้วไว้แล้วว่าจะไปในทางที่แปลกขึ้นไปอีก ซึ่งถ้าได้ทุนเน็ตฟลิกมาทำต่อนี่ก็เหลือเชื่อมากจริงๆ แต่อาจจะเพราะเป็นหนังทุนต่ำเลยได้มาง่ายๆ
ตัวเรื่องเริ่มต้นกันง่ายๆ กับกลุ่มวัยรุ่นที่เข้ามาในป่าเพื่อตั้งแคมป์บำบัดอาการติดโซเชี่ยล ซึ่งก็ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญอะไรเลยไม่รู้จะอธิบายให้ยืดยาวทำไม เหมือนแค่บทหาทางสร้างเรื่องให้มีวัยรุ่นมารวมตัวกันในป่าให้ได้เท่านั้น และที่นี่ก็ห่างไกลชุมชน ไม่มีสัญญาณมือถือ ห้ามพกมือถือมา และแน่นอนว่าตามสูตรก็ต้องมีคนแอบเอามา555 ก่อนที่สมาชิกในทีมจะหายไป แล้วพบว่าถูกฆ่าอย่างโหดร้ายจากชายอ้วนร่างใหญ่มีแผลพุพองทั่วตัว จากนั้นก็คือช่วงไล่ล่ากันไปในป่านี้แหละ โดยมีประเด็นเรื่องหาทางทางออกจากป่าไม่ได้เพราะหลงทาง เลยต้องพึ่งมือถือเครื่องเดียวที่คนในกลุ่มแอบเอามา แต่ตกอยู่ในบ้านของฆาตกรสุดโหด
ต้องบอกว่านี่เป็นหนังที่บทอ่อนยวบสิ้นคิดมากจนเหลือเชื่อเลยว่า Netflix ให้ทุนมาทำ เอาว่าขนาดหนังเกรดบีสมัยก่อนยังมีอะไรให้รู้สึกฉีก แปลกใหม่ มีความพยายามหาจุดขายของตัวเองอยู่บ้าง ซึ่งก็อาจจะหลุดไปเป็นหนังคัลท์เลยแบบ The Babysitter ทั้งสองภาคก็ถือว่าเจ๋ง แต่เรื่องนี้เหมือนผู้กำกับซึ่งเขียนบทด้วยเหมือนพึ่งตื่นจากการดูหนังแนวไล่เชือดลงแผ่นสมัยก่อน แล้วมาทำเรื่องนี้ในแบบเดียวกัน แต่ห่วยกว่า สิ้นคิดกว่ากับบทที่ให้ฆาตกรมีที่มาเว่อร์แบบมั่วซั่ว เหมือนอยากจะวางไว้เป็นหนังภาคต่อทำได้เรื่อยๆ พวกเจสัน ก็เลยเอามันแบบนี้แหละ จะได้ฆ่าไม่ตาย แล้วก็เผื่อต่อยอดไปยังหนังแนวสัตว์ประหลาดไซไฟได้อีก ซึ่ง ฆาตกรมีจุดกำเนิดจากเศษอุกกาบาตตกมาที่โลก แล้วมีเอเลี่ยนเข้าไปยึดร่างของเด็กสองคนจนกลายเป็นฆาตกรไล่ฆ่าคนในป่าเพื่อกินเป็นอาหาร
เมื่อที่มาตัวเรื่องซี้ซั๊วะแบบนี้แล้ว ตัวเรื่องที่เหลือก็เลยมีแค่การไล่เชือดแบบโหดๆ ซึ่งโอเคถ้ามองว่านี่เป็นหนังสยองขวัญเกรดบีที่เน้นดูฉากแหวะเลือดสาดแล้วก็คงพอได้ แต่ว่าฉากโหดที่ออกมาแต่ละครั้งมันกลับดูตลกแถมยังโง่อีก จากตัวละครที่ตกเป็นเหยื่อแบบสิ้นคิด ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องก็มีตัวละครหนุ่มอ้วนสายแบกที่เป็นมันสมองคอยบอกอยู่แล้วว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้เทียบกับหนังสยองขวัญ แต่ก็ยังจะให้ตัวละครไปตายแบบสิ้นคิด หลายครั้งถึงขนาดผมหงุดหงิดกับการตัดสินใจไปตายแบบหน้าโง่มาก จนรู้สึกอึดอัดกับการเดินเรื่องให้ตัวละครไม่มีใครฉลาดเลยสักคน แม้แต่นางเอกก็ยังออกแนวสิ้นคิดพอกัน เพียงแต่ว่าพอเป็นนางเอกก็เลยต้องมีฉากต่อสู้กับฆาตกรให้ดูดีกว่าเท่านั้น ซึ่งเรื่องช่วงหลังก็ตามสูตรว่านางเอกต้องพยายามหาทางแก้แค้นจัดการฆาตกรให้ คนดูก็อาจจะสะใจนิดๆ กับฉากเอาคืน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกลุ้นระทึกอะไรเลย เพราะที่จริงมีทางเอาคืนได้มากมายกว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่บทกลับให้ตัวละครโง่แบบคิดไม่ได้เองแค่นั้น
ตัวเรื่องมีความพยายามจะใส่ตัวร้ายโหดๆ เพิ่มจากตัวหลักอีก โดยให้คนที่อยู่ในป่าแห่งนั้นมีกลิ่นน่าสงสัยว่าจะโรคจิตวิปริตเหมือนกัน แม้ว่าจุดนี้อาจจะดูเหมือนช่วยให้เรื่องมีอะไรแปลกใหม่เพิ่ม แต่ว่ากลับทำออกมาเสียของ แถมยังไม่มีที่มาที่ไปแบบงงๆ ก่อนจะโดนตัดจบแบบงงๆ ในเวลาต่อมาทันทีที่เฉลย เชื่อเลยว่าคนดูต้องงงแน่นอนว่าผู้กำกับเรื่องคิดอะไรถึงใส่ช่วงนี้มาโดยไม่มีที่มาที่ไปกับปิดจบง่ายๆ แบบนี้ แถมยังไม่อธิบายด้วยว่าตัวละครที่ไปเจอกับพวกนี้รอดมาได้ยังไง ก่อนจะเอาไปฆ่าทิ้งในตอนก่อนจบให้งงเล่นเข้าไปอีก คือทำเพื่ออะไรครับ เป็นการดูถูกคนดูแบบให้อภัยไม่ได้เลย
เอาจริง คนหายไปแค่คนแรกก็ควรจะเดินทางกลับออกมาได้แล้ว ไม่รู้จะอยู่ตามหาทำไมให้เพิ่มความเสี่ยง แต่นั่นแหละถ้าไม่อยู่ต่อก็คงไม่จบพล็อตหนังสยองขวัญเรื่องนี้
เรื่องเซอร์ไพรส์ที่บอกว่ามีนั่นก็คือแหล่งกำเนิดของสัตว์ประหลาดที่มาจากหินต่างดาว แต่พอถูกฆ่าไปพลังงานนั้นก็เหมือนจะหายไปด้วยเลย ไม่มีอธิบายต่อว่าเกิดอะไรขึ้น ทำยังไงต่อไป ค้างคาประหนึ่งเขียนงานไม่เสร็จ
ความสนุกของหนังเรื่องนี้ ต้องบอกว่าไม่ควรคาดหวังมากมายนัก ด้วยความที่ตรกะในหนังป่วยมากทั้งเรื่องอยู่แล้ว ส่วนที่เหลือจึงมีแค่ความแหวะเป็นจุดขาย ซึ่งผู้กำกับก็ตั้งใจขายความแหวะแบบหนักหน่วงมาก มีฉากโคลสอัพเห็นไส้พุงถูกกระซวกกันจะๆ ความรุนแรงของภาคนี้มากกว่าภาคแรกที่ออกแนวฆ่ากันโหดๆ เท่านั้น ซึ่งคอหนังแนวนี้ก็คงชอบความแหวะสุดๆ แต่ถ้าไม่ใช่คอหนังแนวนี้ก็ไม่รู้จะดูไปทำไมเหมือนกันครับ
โดยรวมนี่เป็นหนังสยองขวัญที่โคตรป่วยมากๆ จนไม่รู้ว่าผู้สร้างคิดอะไรกันแน่ถึงทำบทออกมาแบบนี้ ขอแนะนำว่าอย่าเสียเวลาดูเลยแม้จะยังชอบภาคแรกอยู่บ้างก็ตามครับ
นี่เป็นหนังแนวไล่เชือดที่บทโบราณมากจนแทบจะไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนทำหนังแบบนี้ออกมาอีก แถมเขียนให้ตัวละครโง่ๆๆๆตลอดเวลาที่ดู นอกจากจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ลุ้นระทึก กะขายฉากโหดเพียงอย่างเดียว แถมยังไร้รสนิยมมาก ทำออกมาทื่อๆตรงๆ เห็นความพยายามเล็กๆที่จะเป็นเจสันเวอร์ชั่นใหม่ เพื่อทำต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ดูแล้วคงยากเพราะหลายอย่างที่สร้างไว้ในเรื่องป่วยเกินจริงๆ
รีวิวหนังสยองห่วย จุดเด่นและจุดด้อยของ Nobody Sleeps in the Woods Tonight 2 คืนผวาป่าไร้เงา
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ สัตว์ประหลาด ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ทั้งอวัยวะและเครื่องแต่งกาย สำหรับประเทศที่ไม่ได้มีอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว และเพลงประกอบที่ทำออกมาได้ค่อนข้างแปลก รวมไปถึงมุมกล้องที่ทำออกมาได้ดี นอกจากนี้วิธีการฆ่ายังทำออกมาได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงจนน่าขนลุก นับว่าหนังเรื่องนี้ถ้าไม่มีเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ก็คือหนังโง่ๆ ที่เด็กม.ปลายคงทำได้ดีกว่า
และในส่วนของจุดด้อยนี่ไม่ต้องพูดถึง เนื้อเรื่องที่ยังคงยึดติดกับหนังสยองขวัญแบบตกยุค ที่สามารถคาดเดาได้ง่าย ตัวละครเองก็มีการตัดสินใจที่โคตรโง่ เหมือนพากันไปตายมากกว่าพยายามเอาตัวรอด ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย แต่ก็เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสยองขวัญทุกเรื่องเช่นกัน นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีเนื้อหาที่รุนแรงเกินจำเป็น เลือดสาดขายฉากแหวะและชวนอ้วกอีกทั้งยังฉากเพศที่ไร้รสนิยมสุดๆ ดังนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับเยาวชนและคอหนังสายจริงจังด้วยประการทั้งปวง คือว่าง่ายๆ อย่าเสียเวลาไปดูเลยครับ รีวิวหนัง
ประเภท : สยองขวัญ / ฆาตกร
ปีที่ฉาย : 2020
เวลา : 1.42 ชั่วโมง
*รับชมได้ใน Netflix / ดูหนังออนไลน์