รีวิว ร่างทรง การสืบทอดทายาทของครอบครัวหนึ่งในภาคอีสานของไทยเรื่องราวของย่าบาหยันร่างทรง  เมื่อทายาทรุ่นปัจจุบันไม่อยากรับช่วงต่อแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธโชคชะตานี้ได้ ทำให้เกิดเรื่องราวเขย่าขวัญคนทั้งโลก เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2018 ทีมงานสารคดีทำข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวร่างทรงในไทยและไปพบเจ้าของเรื่องของป้านิ่มเอี้ยง-สวนีย์ อุทุมมา ที่เป็นร่างทรงย่าบาหยันซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นอยู่ในจังหวัดเลย ที่น่าสนใจคือย่าบาหยันจะสืบทอดกันต่อเฉพาะลูกหลานที่เป็นผู้หญิงในตระกูลของป้านิ่มเท่านั้น โดยคนที่มีแนวโน้มรับต่อในปัจจุบันมากที่สุดคือมิ้งค์ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชรลูกของพี่สาวป้านิ่มนั่นเอง

และนั้นก็ทำให้ทีมสารคดีขออนุญาตมาถ่ายทำป้านิ่มและครอบครัวในปี 2019 จนได้มาเจอเรื่องราวต่างๆและตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อของสารคดีจากเรื่องว่าร่างทรงคืออะไร มาเป็นเรื่องของการสืบทอดร่างทรงแทน เรื่องราวที่เราจะได้รับชมทั้งหมดในหนังเรื่องร่างทรงจึงมาจากสายตาของทีมงานสารคดีนี้ทั้งสิ้น นี่คือการกลับมารับงานหนังสยองขวัญครั้งล่าสุดของ โต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับชั้นแนวหน้าในปัจจุบันของไทยจากทั้งผลงานปลุกกระแสผีไทยจากชัตเตอร์กดติดวิญญาณ2547 จนมาถึงสร้างประวัติศาสตร์หนังไทยพันล้านจากหนังสยองปนขำเรื่องพี่มากพระโขนง2556 ทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาในทุกย่างก้าว

และการกลับมาของเค้ารอบนี้ก็เรียกว่าเป็นบันไดก้าวแรกสู่ระดับนานาชาติของบรรจงอย่างแท้จริง เพราะเขาได้รับการทาบทามให้ร่วมงานกับผู้กำกับเกาหลีชื่อดังระดับเวทีนานาชาติอย่าง นาฮงจิน ที่เคยมีผลงานแนวสยองขวัญเรื่องThe Wailing 2016ที่ได้รสชาติสยองชวนคิดที่น่าสนใจ และหนังเรื่องร่างทรงก็ไปคว้าอันดับ 1 ในบ็อกซ์ออฟฟิศของเกาหลีมาได้ด้วยอย่างงดงามเมื่อกลางปีที่ผ่านมา พร้อมคำชื่นชมในดีกรีความโหดขนหัวลุกของหนัง แน่นอนว่านี่คือความภูมิใจของคนไทยอย่างแท้จริงแล้ว โดยไม่ต้องสนใจว่าหนังจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร

 

รีวิว ร่างทรง01
ร่างทรงเข้าสิง

ผีที่เป็นใหญ่ของชุมชนหนึ่งในภาคอีสานของไทย โดยแรกเริ่มของเรื่องนั้นป้านิ่มจะเล่าถึงความเชื่อพื้นฐานของผู้คนในสังคมชนบทว่ามีความเชื่อความศรัทธาและให้ความเคารพเรื่องผีอยู่เป็นทุนเดิม และมีมาก่อนที่ศาสนาพุทธจะต้องมาเสียอีก ป้านิ่มเล่าว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหนือธรรมชาตินั้นเรียกว่าผีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผีที่อยู่ในบ้าน ผีที่อยู่ในต้นไม้ ผีที่อยู่ในป่า ผีที่อยู่ในไร่นา ผีที่อยู่ในแม่น้ำลำคลองทีมงานเกาะติดชีวิตของป้านิ่ม โดยการถ่ายทำพิธีกรรมการรักษาผู้คนที่เจ็บป่วยเป็นโรคซึ่งทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถรักษาได้ ถ่ายทำพิธีกรรม การรำถวาย รวมถึงการรักษาที่กระทำต่อหน้าปฏิมากรรมย่าบาหยันในป่า

แต่แล้ววันหนึ่ง ญาติผู้เป็นสามีของป้าน้อยพี่สาวของป้านิ่มเสียชีวิต ป้านิ่มก็ได้เดินทางไปร่วมงานศพ ซึ่งในงานหลานสาวของป้านิ่มก็ได้มาร่วมงานศพนี้ด้วย ป้านิ้มได้เจอหลานสาวซึ่งเป็นลูกของป้าน้อยนั่นแหละชื่อมิ้ง เป็นสาววัยทำงานมีหัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ ไม่เชื่อเรื่องพิธีกรรมติดต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ และไม่เชื่อเรื่องร่างทรงมีจังหวะหนึ่งที่มิ้งเดินเข้ามาหาป้านิ่มพูดคุย เรื่องไปเอาของให้แม่ของเธอ มิ้งได้จับแขนป้านิ่มจังหวะหนึ่ง จากการสัมผัสนั้นป้านิ่มก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นกับมิ้ง หลังจากที่พระสวดศพตอนค่ำเสร็จแล้ว

ผู้ที่เป็นญาติก็ยังอยู่เฝ้าศพตามธรรมเนียมเดิมของคนไทยในต่างจังหวัด ก็จะมีการละเล่นพนัน การตั้งวงกินเหล้าเมายาเป็นเรื่องปกติ และมิ้งเองก็เป็นหญิงสาวที่ชอบดื่มสุราเป็นนิจศีลด้วย เมื่อเธอเมาแล้วก็อาละวาดไปตามประสาของวัยนี้ แต่ป้านิ่มก็สังเกตอาการของมิงค์ว่า นี่ไม่ใช่อาการปกติของหลานสาว ช่วงก่อนที่ทุกคนจะเข้านอน ป้านิ่มเห็นมิ้งนั่งมองไปทางด้านหลังทางเข้าศาลาอยู่นาน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่หัน แล้วก็เห็นหญิงชราตาบอดเดินยืนจ้องมิ้งนิ่งเช่นกัน เมื่อหญิงชราตาบอดเดินจากไป มิงค์จึงเข้านอน

เช้าวันรุ่งขึ้นผู้คนในหมู่บ้านก็รู้ข่าวว่าหญิงชราตาบอดที่อาศัยอยู่หลังวัดนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว และได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาทันที จากนั้นเป็นต้นมา มิ้งก็มีอาการผิดปกติไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทีมงานถ่ายทำสารคดีจึงตัดสินใจตามติดถ่ายทำชีวิตของมิ้งด้วย เพราะพวกเขาสันนิษฐานว่า นี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนผ่านร่างทรง หลังจากการติดตามถ่ายชีวิตมิ้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก็พบว่ามิ้งมีหลายบุคลิก บางครั้งชอบทำตัวเป็นเด็กเล่นแบบเด็ก ๆ โมโหร้าย ชอบความรุนแรง ชอบด่าทอหยาบคาย มีพฤติกรรมติดเซ็กส์  ชอบเที่ยวยามค่ำคืนดื่มสุรามึนเมาไม่กลับบ้าน และเลือดประจำเดือนมาทุกวัน

เมื่อทีมงานนำคลิปวีดีโอที่ถ่ายไว้มาให้กับป้านิ่มดู ป้านิ่มก็รู้ทันทีว่านี่คืออาการแรกเริ่มของคนที่กำลังจะเป็นร่างทรง หรือจะมีผีจะมาประทับทรง ทางทีมงานสันนิษฐานว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ดวงวิญญาณย่าบาหยันเลือกร่างทรงใหม่เป็นมิ้งหลานสาวของแก เพราะป้านิ่มก็มีอายุมากแล้วและไม่มีลูกหลานคนไหนมารับสืบทอดการเป็นนั่งทรงต่อจากแก ป้านิ่มจึงไปที่บ้านของมิ้ง ไปค้นดูในห้องนอนของมิ้ง ก็พบว่ามีเครื่องรางของขลังที่ใช้ป้องกันไม่ให้ภูติผีปีศาจเข้ามากล้ำกลาย แล้วปรึกษาป้าน้อยผู้เป็นพี่สาวของตนเองว่ามิ้งมีอาการแรกเริ่มของคนที่จะเป็นร่างทรง หากฝืนหรือไม่ยอมรับจะทำให้เกิดความบาดเจ็บ

เกิดเรื่องร้าย ๆ อาจเลยเถิดไปจนถึงการเสียชีวิตก็เป็นได้ แต่ป้าน้อยก็ไม่ยอมรับ และไม่อยากให้ลูกสาวเป็นร่างทรง เหมือนกับครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ป้าน้อยเคยปฏิเสธการเป็นร่างทรงของย่าบาหยัน ป้าน้อยปฏิเสธการทำพิธีทุกอย่าง แล้วไล่ป้านิ่มกลับบ้านไป จากนั้นต่อมา มิ้งก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป แสดงพฤติกรรมประหลาด อารมณ์ร้าย จนทำให้ถูกไล่ออกจากงาน แสดงพฤติกรรมอนาจารกับคนในบ้าน ชอบไปตามพื้นที่ที่คนไม่ไป เก็บเอาสิ่งของอุบาทว์สิ่งของไม่ดีที่สัมผัสกับดวงวิญญาณสัมภเวสีเข้ามาไว้ในบ้านจำนวนมาก จนในที่สุดหนักข้อเข้า ป้าน้อยจึงยามพามิงค์ไปรับขันธ์กับร่างทรงคนหนึ่ง

ในช่วงที่ประกอบพิธีรับขันธ์ 5 ป้านิ่มก็เข้ามาขัดขวางการทำพิธี แล้วบอกว่าการรับขันธ์สุ่มสี่สุ่มห้าจะเป็นการทวีความรุนแรงมากยิ่ง กลับกลายเป็นว่าเป็นการเชิญภูติผีปีศาจ สัมภเวสี เข้ามาอยู่กับตัวมิ้ง มิ้งก็เปรียบเสมือนกับรถยนต์ที่เสียบกุญแจคาไว้ใครจะขึ้นมาขับพาไปไหนก็ได้ จากนั้นมิ้งก็วิ่งหนีเข้าป่าไป และไม่มีผู้ใดตามเจอนับเดือน

รีวิว ร่างทรง03
ความเชื่อ

รีวิว ร่างทรง

แนวทางการสร้างฉากและบรรยากาศของหนังที่ส่งผลด้านดีต่อหนังนอกไปจากโครงเรื่องตั้งต้นที่เดิมเขาตั้งใจไว้ทำ The Wailing ภาค 2 จากผู้ชายที่ชื่อว่านาฮงจิน ที่กลิ่นฝนชื้นในชนบทดูเยือกเย็น ชวนเร้นลับ และภาพแปลกตาของพิธีกรรมความเชื่อที่แฝงอยู่ในชีวิตของคนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากหลังเป็นตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งที่ขาดไปรับรองหนังอาจจะไม่สนุกตื่นเต้นแบบนี้แน่ ๆ

 

และการดีไซน์ของทีมงานคนไทยก็ไม่ใช่ย่อยๆเลยไม่ว่าจะฉากหุบผาที่สถิตของรูปปั้นย่าบาหยัน รวมถึงตึกร้างที่รากไม้ชอนไชเป็นทรวดทรงน่าขนลุก นี่คือ 2 ฉากเด่น ที่แค่เห็นไม่ต้องเอาดนตรีหรืออะไรเข้าช่วยก็ชวนขนลุกแล้ว พอประกอบกับดนตรีที่สร้างอารมณ์ร่วมมาก ๆ และการแสดงแบบเหมือนประทับร่างของนักแสดงสายฝีมือล้วน ๆ ทั้งตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบเนี้ยบยันตัวประกอบนี่สำหรับหนังไทยคือคุณภาพสูงมากและบทหนังที่ปั่นหัวคนดูไปมา มันจึงเป็นหนังที่มีพลังสูงมาก ต้องปรบมือในการเลือกใช้นักแสดงที่เอาชื่อชั้นฝีมือเข้าว่าจริงๆ

ช่วงท้ายๆของหนังหลักๆจะออกแนวตึงเครียดปั่นประสาทขนหัวลุกน่ากลัวมากๆบางช่วงทำเอาคลื่นไส้มวนท้อง อาจเพราะความมืดของโรง การเคลื่อนภาพที่สมจริงสั่นไหวเหมือนอยู่ในสถานการณ์ ดนตรีที่โหมกระหน่ำ การตัดต่อที่ฉับไว ต้องยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับการชมในโรงภาพยนตร์จริง ๆ ถ้าจอเล็กกว่านี้ มืดน้อยกว่านี้ ดนตรีไม่ดังอย่างนี้ มันคงไม่ได้ผลตามที่คนทำหนังต้องการนัก แล้วเรื่องไล่ระดับอารมณ์ได้ดีไม่มีหย่อนแบบอัดแล้วอัดเล่าใส่หัวใจคนดูตลอดครึ่งเรื่องหลัง จนอยากปรบมือให้ดัง ๆ

อีกหนึ่งอย่างที่น่าชื่นชมของหนังคือความรุนแรงของเรื่องที่กล้าท้าทายข้อห้ามจารีตสังคมไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างน่าชื่นชมในความฉลาดไม่โฉ่งฉ่าง คงเล่าไม่ได้ว่าทาบูที่โดนขยี้ย่ำนั่นเป็นอะไรบ้าง แต่เห็นความจงใจลองของตรงนี้ชัดเจน ถ้าฝีมือการเล่าด้อยกว่านี้ รับรองไม่ผ่านหน่วยงานหั่นแบนของไทยแน่นอนและชื่อ GDH ก็อาจเป็นเกราะช่วยประมาณหนึ่ง และที่สำคัญอาจกลายเป็นหนังไร้รสนิยมไปได้ง่าย ๆ ทีเดียวกับการเล่นของโสมมทั้งทางสายตาและทางจิตใจแบบนี้ ขอปรบมือดัง ๆ ให้อีกรอบ

บุญส่งนาคภู่เป็นอีกหนึ่งคนเบื้องหลังที่มาทำเบื้องหน้าได้สุดยอดละสายตาจากเขาเวลาอยู่บนจอไม่ได้จริงๆอีกส่วนที่ก้ำกึ่งว่าจะดีหรือไม่ดี แต่ส่วนตัวชอบกว่าครึ่งหลังเพียว ๆ เสียอีก คือการหย่อนรายละเอียดในชีวิตของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ทั้งเรื่องที่พี่น้องไม่เต็มใจเป็นร่างทรง จนถึงขั้นมีความพยายามหนีปัญหาด้วยวิธีที่ผิด ๆ หรือการหนีไปพึ่งพระเจ้าอีกศาสนา อะไรพวกนี้น่าสนใจมาก ๆ ถ้าเป็นหนังสารคดีจริง ๆ เราคงเห็นแง่มุมพวกนี้ประเทืองปัญญาเราได้อีกมาก แต่เมื่อมันอยู่ในหนังสยองมันเลยมีที่ทางได้จำกัด และทำให้ครึ่งแรกของหนังคาบลูกคาบดอกระหว่างความน่าสนใจกับความน่าเบื่อ

เพราะมันประดิษฐ์เล่าผ่านการให้สัมภาษณ์ตัวละครต่าง ๆ อยู่มาก บทสนทนาเองก็ค่อนข้างเยอะเพื่อปูภูมิหลังและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังในช่วงที่ภาพยังเล่าเรื่องลึกซึ้งด้วยตนเองลำบาก และการตัดต่อ อาจรวมถึงการเล่าเรื่อง แม้จะทำได้ดีมาตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็เห็นความแปลกอยู่บ้างเหมือนกันเช่น ความพยายามหลอกให้หลงทางแต่หลงไม่สุด เพราะแอบหยอดอยู่ว่าไม่ใช่นะ ทำให้พอเฉลยก็ไม่ได้รู้สึกว้าวนัก ซึ่งมีการตัดต่อที่ดูลำดับแปลก ๆ อยู่เช่นกัน จากที่ปกติควรให้คนดูตะลึงว่าเข้าใจผิด แล้วค่อยไปดูผลอีกด้าน กลับเลือกไปให้ดูผลอีกด้านที่ทำให้คนเดาออกทันทีก่อนที่จะไปตกใจกับการเฉลย

รีวิว ร่างทรง04
สุสานแห่งความเชื่อ

สรุปโดยรวมของหนัง

อย่างที่กล่าวไปว่าหนังมีจุดแข็งดี ๆ มากเลยทีเดียว แต่โชคร้ายที่หนังมีเนื้องอกของมันเองอยู่ ไม่แน่ใจว่าวิธีการนำเสนอที่มาลงปลงใจกับแนวทางสารคดีนี้ใครเป็นคนต้นคิดหรือชี้ขาด ข้อดีของมันแน่ ๆ คือการสร้างสภาวะสมจริงด้วยรูปแบบที่คนคุ้นชินว่ากำลังดูความจริง ทั้งเคลื่อนกล้องถือถ่าย มีเสียงทีมงานถามคำถาม การเข้าไปปรากฏกายของทีมงานเป็นระยะ เพื่อให้ดูเรียล แต่กระนั้นก็ยังมีคำถามว่าด้วยตัวเนื้อหาและสิ่งดี ๆ มากมายที่หนังมีอยู่แล้วจำเป็นหรือไม่ที่ต้องใช้แนวทางสารคดีปลอมมานำเสนอ เพราะสิ่งที่ถูกทำลายแน่ ๆ คือการจดจ้องแช่ภาพหรือเน้นความสวยงามความขลังของฉากที่ถูกคิดมาอย่างดี

และคนดูเองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกถูกถีบออกมาระหว่างเคลิบเคลิ้มใหลลงในหนังทันที เมื่อตระหนักได้ว่านี่มีทีมงานปลอม ๆ อยู่และทั้งหมดคือหนังสารคดีปลอม ในช่วงแรกยังคงรู้สึกแค่ว่าวิธีการสารคดีนี้มันเป็นเนื้องอกของหนัง คือเกินจำเป็น แต่ก็ยังประคองตัวอยู่ไปได้เรื่อย ๆ จนสถานการณ์มันเดินหน้ารุนแรงขึ้น ตัวละครเริ่มอาละวาดมากขึ้น เนื้องอกนี้ก็เริ่มกลายพันธุ์เป็นเนื้อร้ายไปในที่สุด

ในช่วงแรกสารคดีปลอมทำหน้าที่แค่ตามถ่ายมีคำถามบ้างแต่ก็ยังเห็นความพยายามไม่เข้าร่วมกับตัวเจ้าเรื่อง ใช้การสื่อสารกับคนดูผ่านทางข้อความบนพื้นสีดำเป็นระยะ ที่ว่ามันก็เป็นเพียงเนื้องอก จนกระทั่งเมื่อทีมงานถ่ายติดยายตาบอดในงานศพแล้วไม่มีคำถามใด ๆ ว่านั่นคนหรือผี ไม่มีแม้ความตกใจกับฟุตล้ำค่าที่ตนเพิ่งถ่ายได้ เราจึงเริ่มตั้งคำถามกับทีมงานสารคดีในเรื่องว่า ตรงนั้นเป็นคนจริง ๆ อยู่ไหมและเมื่อตัวละครมิ้งค์เริ่มอาละวาดใส่คนรอบข้าง ตากล้องที่ตามถ่ายใกล้มิ้งค์ที่สุดกลับกลายเป็นสุญญากาศที่มิ้งค์ข้ามผ่านไปเฉย ๆ ทั้งที่ถ้าเราเป็นมิ้งค์อยากอาละวาดใส่อะไรใส่อย่าง ตากล้องที่มาตามถ่ายตลอดเวลานี่ล่ะน่าจะโดนก่อนเพื่อน

 

ตอนนี้เนื้องอกเริ่มไปดันอวัยวะรอบ ๆ ให้ทำงานผิดปกติให้เห็นแล้ว และเริ่มชัดขึ้นไปอีกเมื่อมิ้งค์มีอาการป่วยในที่ทำงาน แต่นอกจากกล้องกลับไม่มีใครเลยทั้งเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง เจ้านาย ที่จะตามไปดู สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในชีวิตจริงคงรู้สึกประหลาดกับจักรวาลในหนัง ยิ่งการที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐเอาหลักฐานฉาวโฉ่ในที่ทำงานตัวเองมาให้คนนอกอย่างทีมงานสารคดีดูหมดเปลือกให้เสี่ยงต่อความเสื่อมเสียออกไปอีก เรายิ่งรู้สึกว่า เมืองเลยในหนัง น่าจะเป็นจังหวัดอีกมิติคู่ขนานกับเมืองเลยในไทยที่เรารู้จักแล้วล่ะ

พอเบียดบังอวัยวะอื่นจนทำงานผิดเพี้ยน ในที่สุดเนื้องอกก็เผยตัวว่า ตูนี่ล่ะคือเนื้อร้ายในที่สุด เมื่อสถานการณ์ในหนังตึงเครียดถึงขีดสุด เรารู้สึกชัดเจนแล้วว่ากล้องสารคดีไม่มีคนอยู่ข้างหลัง ทีมงานที่เราเห็นถูกถ่ายติดเข้ามาบ้างนั่นก็ไม่ใช่คนที่มีชีวิตจิตใจ ไอ้เรื่องความไม่เมตตา ไม่เข้าช่วยเหลือคนตรงหน้า อันนี้พอแถได้ว่าพวกเขายึดถือหลักการของสารคดีแบบไม่มีส่วนร่วมอย่างเหนียวแน่น แต่ถึงขนาดไม่มีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดนั้นไม่น่าจะใช่แล้ว หลายครั้งที่สถานการณ์จวนเจียนเป็นหรือตายที่ถ้าเป็นคนปกติต้องตัดสินใจหนีทั้งกล้องไปแล้ว แต่พวกทีมงานสารคดีในหนังกลับยังอยู่แบบงง ๆ

และหลายครั้งที่มันจวนตัวถ้าเป็นเราคงเลือกหยิบอาวุธใกล้มือมาปัดป้องภัยตรงหน้า แต่พวกเขาเลือกหยิบกล้องมาถ่ายตัวเองที่กำลังมีอันตรายเสียแทน นั่นดูไม่น่าใช่คนในชีวิตจริงที่เราจะเชื่อได้ และหนักสุดก็คือเมื่อเรื่องราวมันไปสู่บทสรุป มันจะเกิดคำถามว่า เมื่อมันไม่ใช่หนังแนวFound Footageที่มักมีคำอธิบายมาก่อนในต้นเรื่อง แล้วหนังเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ ไอ้ข้อความที่สื่อสารกับผู้ชมบนพื้นดำมาตลอดเรื่องคืออะไร

และนี่คงเป็นจุดบกพร่องใหญ่ๆที่ผู้สร้างร่างทรงมองข้าใมไปแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งที่คิดใส่รายละเอียดในตัวละครไว้อย่างดิบดีน่าสนใจ เลือกนักแสดงมาถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงพริกถึงขิง แต่ตัวละครที่อยู่กับผู้ชมตลอดเรื่องอย่างทีมงานสารคดี ผู้สร้างกลับลืมใส่ความเป็นมนุษย์ลงไป ที่เจ็บปวดที่สุดคือตัวละครหลังกล้องสารคดีพวกนี้นี่ล่ะที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องแทนสายตาผู้ชมตลอดเรื่อง หนังที่ออกแบบคิดงานมาอย่างดีเสียเวลาสร้างไปหลายปีเพื่อให้คนอินให้คนดำดิ่งแยกความจริงกับเรื่องสมมติออกได้ยาก จึงพังลงด้วยความไม่น่าเชื่อของตัวแทนการเล่าเรื่องที่ว่ามานี้เองน่าเสียดายนะครับ หนังดีๆ

https://youtu.be/j-29piJLjVA

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *