รีวิวAlice in Borderland ฉันมีซีรีย์ญี่ปุ่นมารีวิว ซึ่งเรื่องนี้เป็นการกลับมาในซีซันที่ 2 ของ Alice in Borderland ที่ทิ้งช่วงห่างให้เรารอคอยไปจากเดิม 2 ปี ซึ่งในคราวนี้ไม่เพียงเป็นการกลับมาสานต่อความสำเร็จที่ Netflix ทำไว้เท่านั้น หรือหวังกลับมาโกยยอดสมาชิกเข้าบริการสตรีมมิงตัวเองเท่านั้น แต่ยังเหมือนการกลับมาพิสูจน์ศรัทธาของผู้ชมต่อซีรีส์แนวเซอร์ไววอลอีกด้วย

ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าซีรีย์เรื่องนี้เป็นของประเทศของญี่ปุ่น ที่ได้ฐานมาจากมังงะสุดฮิตเรื่องนี้ ที่ซึ่งเหมือนเรื่องเป็นการพิสูจน์ว่าทางผู้กำกับจะเลือกจบแบบไหน จะจบแบบหักจบไปเลยหรือจะจบแบบในมังงะ เพื่อให้ได้สร้างต่อไปเรื่อย ๆ และเสี่ยงกับการทำลายศรัทธาคนดูหรือจะยอมจบแบบมังงะ ที่เล่นเอาคนดูรู้สึกในอาการ ใจจะวาย อย่างเลี่ยงไม่ได้ สามารถเข้ามารับชมหนังดี ๆ ได้ที่ ดูหนังออนไลน์

รีวิวAlice in Borderland ซีรีย์ การผจญภัยในโลกของเกม โหด ระทึก เลือดสาด

รีวิวAlice in Borderland ตัวเอกของเรื่อง

ซึ่งในซีซันนี้ก็ยังทำให้เราเห็นภาพของ อาริสุ อุซางิ คุอินะ อัน และชิซึยะ 5 เพลยเยอร์แห่งเกมมรณะ ก็ยังคงต้องเอาชีวิตรอดในเกมที่ยากขึ้นและโหดจักหนักมากขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ที่บีบบังคับให้พวกเขาต้องแยกจากกัน เพื่อหนีการตามล่าจากนักฆ่ามหากาฬที่หวังปลิดชีพเพลยเยอร์ทุกคนโดยไม่ลังเล

และในขณะเดียวกันผู้เล่นใหม่อย่าง อากาเนะ ที่หลงเข้ามาในเกมมรณะ ซึ่งคราวนี้ก็เหมือนตัวพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างอาริสุกับอุซางิ ก่อนที่พวกเขาจะได้คำตอบว่า ดินแดนที่มีแต่เกมโหดร้ายนี้แท้จริงแล้วยังมีโลกความจริงที่สงบสุขเหลือให้พวกเขาได้กลับไปหรือไม่

สำหรับการดำเนินเรื่องหากให้พูดแบบสปอยล์น้อยที่สุด งั้นฉันขอใช้คำว่าผู้สร้างดูจะให้เกียรติ ฮาโระ อาโสะ ผู้ประพันธ์เรื่องของมังงะมาก ๆ โดยเก็บครบในประเด็นที่อาโสะพยายามบอกเล่าในต้นฉบับมาแบบไม่มีบิดเลยสักนิด

ซึ่งนั่นหมายถึงในตอนจบของซีรีส์สุดบีบหัวใจ แต่ก็อาจทำให้คนดูบางส่วนรู้สึกเมินในฉาก ๆ นั้น ในการเล่นตอนจบแบบนี้ไม่น้อยแน่นอนที่มัยดูแตกต่างจากซีรีย์ทั่วไปที่นิยมเขียนบทตอนจบ ดังนั้นตอนที่ 8 ของซีรีส์น่าจะเป็นตอนที่ผู้ชมดูแบบไม่ลุกไปไหน ซึ่งอันนี้ฉันรู้สึกว่ามันน่าแปลกใจอย่างมากและเป็นมาตรชี้วัดได้เลยว่าคุณชอบซีรีส์ชุดนี้จริง ๆ หรือเปล่า สามารถรับชมหนังเรื่องนี้ได้ที่ ดูอลิซในแดนมรณะ

รีวิวAlice in Borderland ตัวเอกของเรื่อง

แต่หากยังอยากให้ฉันไม่ต้องพูดถึงตอนจบเลย ก็มีสิ่งที่ Alice in Borderland ฉันก็คิดว่าซีซันนี้ทำได้ดีมาก และแก้ไขมาจากซีซันก่อนคือเกมที่นำมาเล่น ด้วยที่ฉากเล่นเกมมันทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นว่าทางผู้เล่นจะเดินเกมไปยังไง และในแต่ละตอนมีปริมาณที่พอดีทั้งในแง่ส่งเสริมการเล่าเรื่อง และเพิ่มความระทึกให้ซีรีส์เองด้วย

ถ้าหากพูดถึงความโหดที่มากขึ้นก็มาพร้อมข้อคิดดี ๆ ที่ถูกแฝงอยู่ในเกมแต่ละเกม โดยเฉพาะเกมแรกของซีรีส์ที่เป็นการเข้าไปเผชิญหน้ากับคิงที่รับบทโดย โทโมฮิสะ ยามาชิตะ หรือสาว ๆ ยุค 90s รู้จักในนาม ยามะพี นี่ขอเตือนสาว ๆ เลยว่าให้หาทิชชู่มาเตรียมเช็ดน้ำลายได้เลยเพราะตัวละครนี้เท่สะบัดแถมไม่ใส่เสื้อผ้าด้วย

ในแวบแรกที่เห็นฉากเปือยกายนี้บอกเลยว่าหลุดขำอย่างฮาเลยล่ะ กระนั้นในตอนจบเกมก็ยังไม่วายเรื่องนี้ยังทิ้งข้อคิดดี ๆ ให้คนดูได้ซึมซับกลับไปก่อนเจอเกมใหม่ในตอนต่อไปอีกด้วย ในส่วนนี้ฉันขอชื่นขมทางผู้กำกับที่เขียนบทออกมาได้ดีมาก ๆ

อีกส่วนที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้เลย คือในซีซันนี้ อลิซในแดนมรณะ ภาคสอง จะเริ่มเจาะลึกแง่มุมจิตวิทยาตัวละครมากขึ้นเพื่อผลลัพธ์ในตอนจบของซีรีส์ โดยเฉพาะตัวละครอาริสุ แถมยังได้เราเริ่มเห็นแง่มุมอื่น ๆ นอกจากการเป็นหัวหน้าแก๊งหรือความหวังหมู่บ้าน แล้วตัวละครที่ถูกกำหนดให้เป็นพระเอกอย่างเขากลับค่อย ๆ

และเขายังเผยบาดแผลในจิตใจทีละนิด ๆ ออกมาทำให้เห็นว่าพระเอกก็ไม่ได้เข็มแข็งอะไรขนาดนั้นเหมือนกัน ซึ่งนั่นทำให้ เคนโตะ ยามาซากิ ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในฐานะนักแสดงอย่างเต็มที่และเขาก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมเสียด้วย ห้ามพลาดที่จะติดตามการรีวิวของเราได้ที่ รีวิวหนังดัง

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องราว

และอีกหนึ่งตัวละครที่มีแง่มุมให้น่าสนใจไม่น้อยเลย ก็คือ ยูริ ซึเนมัตสุ สาวสวยที่ต้องมารับบทอากาเนะ ที่เธอประสบอุบัติเหตุจากเกมจนต้องเสียขาไปจากการต่อสู้เอาชีวิตรอดของตัวละครใหม่ เรื่องราวของเธอที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากเกมนี้ให้ได้ ที่แม้จะมีเวลาบนจอไม่กี่ตอนกลับทำให้คนดูจดจำและประทับใจทั้งการแสดงในซีนดราม่าและความเท่ในมาดสาวขาเหล็กแม่นธนูที่น่าจะได้ใจหนุ่ม ๆ ไปเต็ม ๆ

อีกข่าวดีที่ต้องบอกหนุ่ม ๆ ก็คือในซีซันนี้ อลิซในแดนมรณะ ภาค 2 เราจะได้เห็นตัวละคร คุอินะ ของ อายะ อาซาฮินะ สาวเท่เซ็กซี่ที่ยังคงสวมบิกีนี่ฟ้าท่อนบนกับยีนส์รัดรูปกระชากใจเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคราวนี้เราจะได้เห็นน้องมากขึ้นและชวนหลงรักมากขึ้นนั่นเองครับ ส่วน ทาโอะ ซึจิยะ ในบทอุซางิ คราวนี้ก็ได้มีโอกาสโปรยเสน่ห์หนุ่ม ๆ และมีบทโรแมนติกมากขึ้นด้วยครับ

และอีกจุดที่ต้องปรบมือชมกันเลยทีเดียว คืองานโปรดักชันนี่แหละ โดยในซีซันนี้เกมส่วนใหญ่มักใช้อาณาบริเวณกว้าง และใช้พื้นที่ที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาเป็นฉากหลัง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโกดังท่าเรือในเกมแรกหรือคุกในเกมท้าย ๆ ที่สำคัญมันยังกำหนดทิศทางในการเล่าเรื่องได้มีลำดับขั้นตอนที่ดีขึ้น ไต่ระดับอารมณ์คนดูให้พีคได้ในทุกเกมจริง ๆ

ซึ่งอันนี้ฉันขอชื่ชมเลย และขอย้ำว่าในซีซันนี้มีความโหดของเกม ที่ทวีขึ้นจากภาคแรกมากจริง ๆ ดังนั้นไม่ควรดูตอนทานข้าวนะ เตือนไว้ก่อน มัอ้วก เพราะฉากเลือดสาดนี้สุดยอดมาก สมจริงจัด

ความน่าสนใจของเรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องราว

ในส่วนเกมภาคนี้ Alice in Borderland ภาคสอง รู้สึกว่าผิดหวังอยู่นิด ๆ จากที่คาดว่าเกมไพ่หน้าคนคงมีความโหด ความเขี้ยว ความซับซ้อน ฉากการเอาตัวรอดจะเดือดมากกนี้ แต่รวม ๆ แล้วเกมในภาคนี้แทบจะออกมาง่าย ๆ ยังคงมีความขาดความน่าสนใจ การผ่านด่านก็ตัดข้ามไปง่าย ๆ ส้ะงั้น หลายอันเหมือนเรื่องต้องการเร่งให้จบในซีซั่นนี้มากเกินไป

และยังมีการผ่านแบบที่เน้นโลกสวยเกินจริงหลายครั้งบ่อยไปหน่อย โดยตัวละครไม่ได้ใช้ความสามารถจริงจังเลย คือถ้าเทียบกับภาคแรกทั้งความซับซ้อน ความโหด ยังมีมากกว่า แต่ก็ยังมีบางเกมที่ถือว่าทำออกมาได้ดีมากอย่างเกมติดคุก ที่จิชิยะ หนุ่มผมขาว เป็นคนเล่นเกม เกมนี้ออกแบบมาดี ชวนให้ผู้ชมคิดตาม ๆ กันไป

ซึ่งมันทำให้มีความน่าตื่นเต้น และตัวจิชิยะเองก็เด่นมาก ในเรื่องการวิธีการผ่านเกมนี้ที่ใช้จิตวิทยาสูง ซึ่งเกมที่จิชิยะเล่นหลัก ๆ จะมี 2 เกมแยกจากกลุ่มพระเอก เป็นเกมที่ใช้จิตวิทยาทั้งคู่ ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ดูฉลาดมาก รู้สึกทึ่งในตัวละครนี้มากกว่าพระเอกอีก ในเกมที่ 2 วิธีผ่านสุดท้ายดูโลกสวยไปหน่อยจนกลายเป็นหมดความน่าตื่นเต้นไปเลย

ภาคนี้พยายามใส่แอ็คชั่นสาดกระสุน

ถ้าพูดฉากแอ็คชั่นของเรื่อง Alice in Borderland ภาค 2 คือแบบ สาดกระสุน ฉันก็บอกได้เลยว่ามาเต็มเหนี่ยว ตั้งแต่แรกด้วยการให้ 1 ในระดับมาสเตอร์ของไพ่ใช้ปืนกราดยิงเปิดเกมตอนแรก ยิงแบบไม่ยั้ง ที่ไม่ได้เหมือนเป็นเกมเท่าไหร่ แต่เป็นแนวทุ่งสังหารที่คอยตามล่ากราดยิงผู้เล่นทุกคนไปตลอดเรื่อง ซึ่งตอนแรกมันก็งง ๆ และสลับกับการที่เล่นเกมอื่นพักแล้วก็มาเจอหมอนี่ ทพเอาปวดหัวเลย ซึ่งก็เหมือนบอสสายแอ็คชั่นสูงสุดของเรื่อง

เพราะในเกมสุดท้ายจะเป็นเกมที่เรียบ ๆ ไม่ได้มีแอ็คชั่นอะไรแม้แต่นิดเดียว แต่ปัญหาของฉากบอสตัวนี้คือความเว่อร์แบบงง ๆ ว่านี่มันคนจริง ๆ หรือคนเหล็ก เพราะหลายอย่างที่โดนไปนี่เกินระดับมนุษย์ไปมาก เช่น ไฟ กระเบิด กระสุน ไม่สะทบสะท้านเลยแม้แต่น้อย

แล้วตัวผู้เล่นที่สู้กับบอสตัวนี้ก็ออกแนวโง่แบบเหลือเชื่อคือไม่ยิงหัว ยิงแต่ตัวที่ใส่เสื้อเกราะไว้อยู่ จนแทบจะรู้สึกว่ามันอะไรวะเนี้ย เอามาก ๆ 5555 กับความพยายามทำให้ฉากต่อสู้กับบอสตัวนี้ดูมันส์แบบลาสบอสจนไม่เมคเซนส์อย่างแรงเลยอ่ะ

ภาคนี้พยายามใส่แอ็คชั่นสาดกระสุน

รีวิวอลิซในแดนมรณะ ส่วนเนื้อเรื่องในซีซั่น 2 คือการตามหาที่มาจุดเฉลยของเกมนั้นเอง และถือเป็นเป้าหมายชีวิตของตัวพระเอก ในภาคนี้เลยที่เข้าเล่นเกมเพื่อถามข้อมูลว่าสุดท้ายแล้วนี่คืออะไร และจะออกจากโลกนี้ไปได้ไหม ซึ่งก็คือจุดสำคัญที่คนดูซีรีส์อยากรู้มากที่สุด และคนดูส่วนใหญ่ก็ต่างสนใจกับคำถามพวกนี้มากที่สุด

แต่แนวนี้ไม่ได้ถือว่าใหม่ มีหลายเรื่องทำเฉลยออกมา หรือใช้พล็อตแนว ๆ นี้อยู่หลายเรื่องเหมือย แต่ด้วยความเว่อร์ของเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดีออกมาสูงมาก จึงแทบจะจินตนาการไปได้หลายเหตุผล ทางคนเขียนบทก็รู้ว่าผู้ชมก็คงคาดเดาอะไรล้ำ ๆ อยู่แล้ว จนถึงขั้นสามารถอ่านเนื้อเรื่องออกได้ว่าจะเดินไปทางไหนบ้าง

ในเรื่องจึงมีช่วงเฉลยหลอกคนดูให้หลงเชื่อ และยังหลอกซ้ำติด ๆ กันหลายรอบ ด้วยเรื่องที่ถูกคิดออกมาให้ดักทางคนดู ทั้งหลาย ก่อนที่จะเฉลยตอนจบที่แท้จริงออกมา ซึ่งคล้ายกับเวอร์ชั่นมังงะ แต่ออกมาดีกว่าแฮปปี้กว่า และคงธีมหลักการตั้งคำถามถึงการมีชีวิตไว้ได้ดี ทำให้ทั้งเรื่องที่อาจจะไม่ดีมาก แต่จบได้ฟินลงตัวสุดๆ

เรื่องนี้มันน่าสนใจยังไงตั้งแรกภาคแรก

ในภาคแรกนั้นมีบทและเรื่องน่าสนใจ และมีความเก๋ตรงที่บิดเอาคาแรกเตอร์จาก Alice in Wonderland มาเปลี่ยนให้มีเอกลักษณ์ใหม่ได้อย่างดีและยังเข้ากับเรื่อง อย่าง The Mad Hatter ก็กลายเป็น คนขายหมวก แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่บ้างนะ การเล่นเกมในเรื่อง ที่จะเปลี่ยนไปตามตอนนั้น ๆ แต่ไพ่ที่เกมมาสเตอร์แจก สลับกันมาทดสอบเรื่องร่างกาย สมอง จิตใจ

และความสามัคคีของผู้เล่น กลายเป็นสิ่งที่เป็นทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของเรื่อง เพราะการสลับเกมกันไป มีทั้งเกมที่เน้นวิ่งให้ทัน เกมบีบสมอง ไปจนดราม่าบีบหัวใจที่ทำให้คาดเดาเรื่องได้ยากขึ้นและเพื่มความหลากหลาย

แต่การเปลี่ยนแนวไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้ในหลายครั้งเราไม่ได้เห็นจุดเด่นของตัวละค รอย่างเต็มที่เท่าใดนัก ก็อาจจะเป็นเพราะในภาคแรกผู้กำกับพยายามโยงให้คนน่าติดตาม เพื่อเรียกแรตติ้งในภาคต่อไป เช่นอะริสุที่เด่นเรื่องการใช้ความคิดมาก ๆ เมื่อเจอกับเกม โพดำ ที่เน้นเรื่องการใช้กำลังกายก็จะไม่ค่อยเฉิดฉาย

เรื่องนี้มันน่าสนใจยังไงตั้งแรกภาคแรก

ดังนั้นหากใครที่อยากเห็นการไขปัญหาแบบเทพ ๆ ของ อะริสุอาจจะไม่ได้เห็นเท่าที่คาดหวังไว้ เป็นต้น เช่นเดียวกับตัวละครอื่น ๆ ที่ก็มีจุดเด่นต่าง ๆ กันไป

และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยังคงทำให้เรื่องราวน่าติดตาม คือการเป็นซีรีส์ อลิซในแดนมรณะ ที่จำลองโลกของความเป็นจริง มาให้เราเห็นในรูปแบบของเกมที่ถูกเิดินไปด้วย ความเอ็กซ์ตรีมของสถานการณ์ ตามฉบับของซีรีย์แนวเซอร์ไววัลที่ทำให้เราได้เห็นธาตุแท้ของคน ว่าคนเรานั้นไว้ใจไม่ได้ ซึ่งหลายฉากรุนแรง

แต่เรื่องก็ทำออกมาได้ดี ก็ไม่ได้ขยี้หรือน่ากลัวจนเกินไปจนทำให้เราไปโฟกัสกับความแหวะจนมองข้ามข้อความที่ซ่อนอยู่เหมือนหลายเรื่องนี้ Alice in Borderland สะท้อนให้เราได้เห็นว่าสิ่งที่ตัวละครเผชิญในแต่ละเกม

อาจจะไม่ต่างกับสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวันในสถานที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือในสังคมของเราเลยก็ได้ แค่ถูกนำออกมาตีแผ่ด้วยภาพที่ต่างกัน อต่รวม ๆ ในภาคแรกก็ถูกสร้างออกมาได้ดี พอได้ดูภาคที่สองก็ดีกว่าเดิมอีก ถึงแม้ว่าจะมีบางฉากที่แอบเสียดายหน่อย ๆ

รีวิวAlice in Borderland ฉากเกมที่รู้สึกชอบในภาคแรก

เกมที่ฉันรู้สึกชอบในภาคแรก คือเกมอยู่หรือตาย ระดับความยาก 3 ดอกจิก ทั้งสามมาที่ตึกหนึ่งที่ถูกระบุว่าเป็นสถานที่ที่ใช้เล่นเกม พวกเขาเดินไปตามป้ายบอกทาง จนไปเจอกับเคาน์เตอร์ที่มีโทรศัพท์วางเรียงรายนับสิบเครื่อง ตรงเคาท์เตอร์มีข้อความพิมพ์ด้วยกระดาษขนาด A4 ระบุว่า หนึ่งคนต่อหนึ่งเครื่อง ในขณะที่ทั้งสามกำลังงงอยู่นั้น สาวออฟฟิศสุดเซ็กซี่ชื่อ ชิบุกิ รับบทโดย อายาเมะ มิซากิ ก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เล่นเกม และตามมาด้วยเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายอีกหนึ่งคน

และทั้ง 5 คนอยู่ในเกมที่มีชื่อว่า อยู่หรือตาย จากนั้นก็มีข้อความขึ้นที่โทรศัพท์ระบุกติกาการเล่นเกม เลือกประตูที่ถูกต้อง เพื่อออกไปภายนอกตึกได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งเกมนี้จะให้ผู้เล่นทุกคนเข้าไปในห้อง ในห้องนั้นจะมีประตูให้เลือกสองบาน บานหนึ่งชื่อ อยู่ อีกบานหนึ่งชื่อ ตาย ผู้เล่นต้องเลือกว่าจะเปิดประตูไหนถึงจะรอด ถ้าเลือกประตูผิด ผู้ที่เปิดประตูจะโดนเลเซอร์ยิงตาย โดยแต่ละห้องจะมีเวลาประมาณ 2 นาที ก่อนที่ห้องนั้นจะถูกรมแก๊สและเผาไฟ

ระหว่างที่ทั้งห้ายังเลือกไม่ถูกว่าจะเปิดประตูไหน แก๊สก็ปล่อยออกมาจากพื้นห้อง พร้อมกับเสียงเตือนว่าเหลือเวลาอีก 20 วินาที เด็กหญิงมัธยมปลายเกิดสติแตกขึ้นมา รีบวิ่งไปเปิดประตู “อยู่” แต่เธอก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวเลเซอร์ก็ยิงทะลุสมอง ตายคาที่

รีวิวAlice in Borderland ฉากเกมที่รู้สึกชอบในภาคแรก

พอทุกคนเริ่มรู้ว่าเกมที่เล่นผู้แพ้ต้องตายจริง ก็สติแตกยิ่งไปกว่าเดิม ห้องต่อมาจึงไม่มีใครยอมเสียสละเป็นคนไปเปิดประตูก่อน เพราะผู้ที่เปิดประตูก่อนและเลือกผิดต้องตาย แต่ยังไงก็ต้องมีคนเปิด คารุเบะจึงยอมเสียสละเลือกเปิดประตู อยู่ รอด เป็นฉากที่ลุ้นแบบสุด ๆ

และในห้องต่อมา อะริสุเริ่มตั้งสติได้ เขาเริ่มใช้สกิลการเล่นเกมเข้ามาคิดอย่างมีเหตุผลแทนการสุ่มวัดดวงอย่างที่ผ่านมา เขาคาดคะเนพื้นที่ของและวัดพื้นที่ของห้อง เมื่อรู้แผนผังของห้องการเลือกประตูที่ถูกเพื่อออกไปจากตึกให้ทันตามเวลาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งหมดสามารถผ่านเกมนี้ได้ แต่โจตะได้รับบาดเจ็บไฟไหม้ที่บริเวณขา

ไพ่ 3 ดอกจิก วางอยู่บนโตีะ เหมือนเป็นรางวัลให้สำหรับผู้ชนะ ขณะที่พวกเขาหยิบไพ่ใบนั้นขึ้นมาก็มีข้อความส่งมาที่มือถือ ต่ออายุวีซ่าออกไปอีก 3 วัน พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนเมื่อชายคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขาและพูดขึ้นว่า ไม่ว่าพวกนายจะเล่นชนะกี่ครั้ง มันก็จะไม่มีวันจบ

และเมื่อไม่กี้วินาที แสงเลเซอร์สีแดงที่มาจากเบื้องบนก็พุ่งเข้าไปที่ร่างของชายคนนั้น เขาตายในทันที ทั้งหมดเข้าใจในทันทีว่า วีซ่าและเวลาที่นับถอยหลังบนโทรศัพท์คือเวลาที่พวกเขาเหลืออยู่ ทางเดียวที่พวกเขาจะรอดคือต้องเล่นเกมบ้า ๆ นี้ไปเรื่อย ๆ เพราะอย่างนี้และถึงได้รู้สึกชอบเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

ฉากเกมที่ชอบในภาคสอง

ส่วนในภาคที่สองนั้น Alice in Borderland ซีซั่น 2 ฉากที่ฉันรู้สึกชอบมากที่สุดคือ เกมตาชั่ง ในระดับความยากของเกมนี้  คือ คิงข้าวหลามตัด

กติกา ของเกม ให้เลือกตัวเลขระหว่าง 0-100 ค่าเฉลี่ยของตัวเลขที่ทุกคนเลือกจะถูกนำมาคูณ 0.8 ผู้ที่เลือกตัวเลขใกล้เคียงกับค่านี้มากสุดคือผู้ชนะ เมื่อสิ้นสุดในแต่ละรอบ ผู้เล่นทุกคนยกเว้นผู้ชนะจะเสียคะแนนคนละหนึ่งแต้ม และตาชั่งที่อยู่บนหัวของเราก็จะถูกเพิ่มน้ำหนักด้วยน้ำกรดกำมะถัน เมื่อผู้เล่นเสียแต้มจนถึง -10 คะแนน ก็จะถูกกำจัด

เคล็ดลับในการเล่นของเกมนี้ เราต้องเดาตัวเลขที่ทุกคนเลือกแล้วก็เดาตัวเลขให้ต่ำกว่านั้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะให้แก่ตนเอง

การเลือกตัวเลขต่ำ ๆ ก็ถือว่าจะมีโอกาสรอดมากกว่าการเลือกตัวเลขที่สูงๆ เลือกศูนย์จะปลอดภัยมากที่สุด เพราะถ้าคาดโดยใช้หลักตรรกะผลลัพธ์จะเข้าใกล้ศูนย์ แต่ก็ใช่ว่าทฤษฎีจะใช้ได้เสมอไปเพราะอาจมีผู้เล่นบางคนที่เลือกตัวเลขสูงๆ เพื่อปั่นให้เกมสนุกมากยิ่งขึ้น

ฉากเกมที่ชอบในภาคสอง

สุดท้ายนี้ฉันจะสรุป อลิซในแดนมรณะ ซีซั่น 2 ความสนุกของเกมนี้ ใครที่ชอบคณิตศาสตร์ ชอบตรรกศาสตร์ต้องถูกใจเกมนี้อย่างแน่นอน ส่วนเด็กหลังห้องดิชั้นต้องกรอแล้วกรออีกประมาณสิบครั้งกว่าจะเข้าใจ แต่ที่ชอบมากๆเลยคือความปั่นของจิชิยะ คนนี้ไม่ว่าไปอยู่เกมไหนก็ทำให้เกมนั้นสนุก

ด้วยทักษะการวิเคราะห์อย่างชาญฉลาดของเขา อีกทั้งการคิดนอกกรอบ มองในมุมที่แตกต่างจากผู้อื่นทำให้เขามักทำอะไรที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงอยู่เสมอ แต่เพราะช่วงท้ายไปเน้นเรื่องคุณค่าของชีวิตตัวเกมเลยเหมือนถูกลดความสำคัญลงไป ถือได้ว่าเกมนี้ได้ให้ข้อคิดต่าง ๆ ว่าตัวละครรู้สึกอย่างไรบ้าง

ความโหด เรียกได้ว่าโหดจนไม่กล้าเล่า เพราะมันเป็นเกมที่ใช้วิธีกำจัดผู้เล่นได้โหดที่สุดในซีซั่นนี้แล้ว จนถึงตอนนี้ยังติดตาดิชั้นไม่หายเลยค่ะ แต่ใบ้ให้นิดนึงก็ได้ ว่ามันเกี่ยวกับน้ำกรดกำมะถันที่ถูกเติมในตาชั่งที่อยู่เหนือศีรษะผู้เล่น ฉันลุ้นว่าใครจะโดนราดใส่ ทำเอาภาพติดตา ถือได้ว่าเป็นฉากการตายที่ซาดิสอย่างมาก

แต่อย่างไรถึงเกมจะโหดร้ายมากแค่ไหน แต่ในชีวิตจริงของเรานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเกมมรณะที่อะริสุและผองเพื่อนได้เผชิญ แม้ดูเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีความโหดร้ายใด ๆ แต่ในโลกกลม ๆที่เราอยู่กันนั้นแฝงไปด้วยความโหดร้ายและน่ากลัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ไม่ว่าจะเป็นการก่ออาชญากรรม สงครามโลก ความไม่ยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ ความโหดเหี้ยมของมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นโลกของเราก็ยังพร้อมมอบโอกาสให้เราสู้ต่อไปได้เสมอ ในขณะที่แดนมรณะ แค่พลาดนิดเดียวก็คือตาย

แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิสระในการใช้ชีวิต และไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป เรียกได้ว่าแต่ละโลกก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป แล้วคุณล่ะ ถ้าเลือกได้อยากกลับไปโลกเดิมหรืออยากไปอยู่โลกแดนมรณะกันล่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *